@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ตะวันทอแสง ตอนที่ 3-4 วันที่ 19 ก.ย. 55

อ่านละคร ตะวันทอแสง ตอนที่ 3

“ทำธุระข้างนอก ธุระอะไรไม่ทราบ ดิฉันเป็นมัณฑนากรนะคะ ไม่ใช่เลขาฯ”
“ก็เพราะคุณเป็นมัณฑนากร คุณถึงต้องไปกับผม เพราะผมจะออกไปดูเฟอร์นิเจอร์ที่จะใช้ในการตกแต่งเรือนหลังเล็ก”

“ไปดูเฟอร์นิเจอร์?”

“ใช่ และผมก็แจ้งให้คุณพิทยาทราบแล้วว่าวันนี้คุณจะออกไปดูเฟอร์นิเจอร์กับผม”

รสาแปลกใจถามเขาว่าแจ้งตอนไหน เขาไม่ตอบแต่บอกว่าอีกเดี๋ยวพิทยาคงโทร.หาเธอเอง...พูดไม่ทันขาดคำมือถือรสาดังทันที เขาตัดบทว่าจะออกไปรอหน้าบ้าน คุยเรียบร้อยแล้วรีบตามไปจะได้ไม่เสียเวลา



รสางงหนักแต่ก็รับสายของพิทยา แล้วอีกครู่ต่อมาชีวินก็รับทราบจากพิทยาด้วยว่ารสาต้องออกไปดูของแต่งบ้านกับภคพงษ์ ชีวินตั้งข้อสังเกตอย่างไม่วางใจว่าบ้านยังซ่อมไม่เสร็จ ทำไมรีบไปดูเฟอร์นิเจอร์ มันข้ามขั้นตอนไปหรือเปล่า

“แล้วที่แกแจ๋นไปดูสวนทั้งๆที่ฉันยังไม่ได้สั่ง มันข้ามทั้งขั้นตอนทั้งข้ามหัวฉันเนี่ย แคร์บ้างไหมฮะ?”

ชีวินหน้าเสียตอบเสียงอ่อย “ขอโทษครับพี่ ผมก็แค่รักงาน อยากทำงาน เลยกระตือรือร้นมากไปหน่อย”

“นี่แกไม่ต้องมาทำเป็นพูดเอาความดีใส่ตัว อยากทำนักใช่ไหมงานน่ะ ได้...พรุ่งนี้แกต้องส่งแบบสวนบ้าน คุณภคพงษ์ให้ฉันดู ฉันมาออฟฟิศเก้าโมงเช้าต้องมีแบบวางอยู่บนโต๊ะ ถ้าไม่มีแกโดนตัดเงินเดือนแน่”

“ส่งแบบพรุ่งนี้เช้า คืนเดียวเนี่ยนะ ใครจะไปทำทัน”

“ก็ไม่มีไง แกจะได้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ อยากทำงานนักไม่ใช่เหรอ ทำสิ จะมาโวยวายหาสวรรค์ วิมานอะไร แค่นี้นะ” พิทยาวางสายด้วยความสะใจ ตรงข้ามกับชีวินที่หนักใจสุดๆ พอเห็นรสานั่งรถออกไปกับภคพงษ์ ก็มองตามตาละห้อย

รสาชูมือถือโบกไปมาเหมือนจะบอกชีวินว่าเดี๋ยวโทร.หา ภคพงษ์ปรายตามองหมั่นไส้ แกล้งเร่งความเร็วจนรสาแทบคะมำ

ผ่านไปพักใหญ่ รถหรูของภคพงษ์มุ่งสู่ถนนนอกเมืองอย่างไร้จุดหมาย รสาเริ่มไหวตัวถามเขาว่าทำไมมาทางนี้

“ผมอยากซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ร้านนอกเมือง”

“ร้านนอกเมือง ร้านไหนของคุณคะ”

“ยังไม่รู้”

“อ้าว...ยังไม่รู้แล้วคุณลากดิฉันมาทำไมคะ”

“มาช่วยผมหา” เขาตอบหน้าตายแล้วเร่งความเร็วฉิวไป ไม่สนใจว่ารสาจะโวยวายยังไง...ที่สุดเธอทนไม่ไหวขอลงตรงนี้ถ้าเขายังขับรถแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย “ลงตรงนี้แล้วโทร.ให้คนอื่นมารับหรือไง”

“อาจจะใช่ หรือไม่ก็เรียกรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ดิฉันไม่เข้าใจทำไมคุณต้องหาเรื่องแกล้งดิฉันแบบนี้”

“ทำไมถึงคิดว่าผมแกล้งคุณ”

“ก็มันไม่มีเหตุผลอื่น คุณคงไม่ชอบหน้าดิฉันและพยายามทำทุกอย่างให้ดิฉันทนไม่ได้ และไม่ทำงานให้คุณ”

“คิดไปเองเป็นเรื่องเป็นราว”

“ถ้าดิฉันไม่ได้คิดไปเอง ช่วยตอบหน่อยสิคะว่าทำไมคุณถึงลากดิฉันมาถึงที่นี่”

“ผมบอกแล้วว่า...ผมต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์”

“เฟอร์นิเจอร์อะไรของคุณต้องมาซื้อถึงที่นี่ ช่วยบอกหน่อยสิคะว่าคุณต้องการอะไรกันแน่”

ยิ่งพูดหญิงสาวก็ยิ่งเดือด แต่ชายหนุ่มกลับอมยิ้มนิดๆ ก่อนพูดโพล่งเมื่อมองไปเห็นโอ่งขนาดใหญ่วางหน้าร้านริมถนน

“โอ่ง!! ผมต้องการโอ่ง”

รสาขมวดคิ้ว ทวนคำพูดของเขาอย่างงงงวย พลันร้องว้าย...ร่างเซตามแรงเหวี่ยงของรถที่เลี้ยวเข้าไปจอด หน้าร้านขายโอ่งด้วยความเร็ว

ooooooo

พนักงานออกมาต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม รสานึกไม่ออกว่าเขาจะซื้อโอ่งไปตั้งตรงไหนของบ้าน ถามเขาก็ไม่ได้คำตอบ เพราะความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจมา แค่อยากจะแกล้งเธอเท่านั้น

ภคพงษ์เดินนำหน้าดูโอ่งสารพัดชนิดที่วางเรียงรายไปเรื่อยเปื่อย ท่าทางไม่ยินดียินร้าย มีพนักงานคอยแนะนำและเสนอขายสินค้าอย่างนอบน้อม

“ที่ร้านเรามีมากกว่าโอ่งนะคะ งานเซรามิก พวกอ่าง กระถางต้นไม้ หรือแจกันก็มีนะคะ ทางด้านโน้นจะเป็นที่แสดงขั้นตอนการปั้นโอ่งและเครื่องเซรามิกค่ะ เราเปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ จะลองไปดูไหมคะ”

รสาจะปฏิเสธแต่ภคพงษ์ตอบตกลง พนักงานจึงนำไป ภคพงษ์ขยับพร้อมกับผายมือเชิญรสาที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างสุดเซ็ง เธอชักไม่แน่ใจว่าเขาอยากดูจริงๆหรืออยากแกล้งกันแน่ แต่จำต้องเดินตามพนักงานไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ฝ่ายภคพงษ์พอลับหลังรสา เขาลอบยิ้มที่เอาชนะเธอได้ และนึกสนุกอยากจะชนะต่อไปเรื่อยๆ

เย็นมากแล้ว ชีวินยังปักหลักอยู่ที่บ้านเถลิงยศ ทำงานไปด้วยรอรสาไปด้วยอย่างกระวนกระวาย ปุยนุ่น เดินยิ้มเข้ามาพร้อมถาดเครื่องดื่มที่สายใจให้เอามาเสิร์ฟ

“ขอบคุณมากครับ ผมฝากขอบคุณคุณป้าด้วยนะครับ”

ปุยนุ่นรับคำแล้วตั้งท่าจะรินให้ ชีวินเกรงใจขอจัดการเอง แต่สาวใช้ก็ยังไม่ขยับไปไหน แถมเปิดปากเม้าท์มอยประสาคนช่างพูด

“คุณชีวินกับคุณรสาขยันจังเลยนะคะ ครั้งที่แล้วที่คุณภัคต่อเติมเรือนหลังใหญ่ คนที่เขามารับทำไม่เห็นจะตั้งใจแบบนี้เลย บางคนทำแค่วันสองวันก็หายไปแล้ว ต้องเปลี่ยนคนทำตั้งเกือบสิบคนนะคะกว่าบ้านจะเสร็จ”

“เกือบสิบคน?!” ชีวินทวนคำอย่างเหลือเชื่อ

“ค่ะ แต่ครั้งนี้ปุยว่าคงไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ คุณภัคดูเหมือนจะชอบคุณรสนะคะ...เอ่อ...คือปุยหมายถึงชอบ งานน่ะค่ะ”

คำพูดของปุยนุ่นทำให้ชีวินเป็นกังวลจนต้องแอบหยั่งเชิงด้วยความอยากรู้ “แล้วทำไมปุยนุ่นถึงคิดว่าคุณภัคชอบรส...หมายถึงชอบงานของรสน่ะ”

“ก็คุณรสาเธอตั้งใจทำงาน อีกทั้งคุณพักตร์วิมล กับคุณยูโฮะมาอาละวาด คุณรสาก็รับมือได้หมด แถมคุณภัคก็ยังเข้าข้างคุณรสาอีก ปกติปุยไม่เคยเห็นคุณภัคเธอเข้าข้างใครเลยนะคะ”

“ทำไมครับ”

“ปกติคุณภัคไม่ค่อยยุ่งกับใคร ใครทะเลาะกันอย่างมากก็เดินหนี ไม่มีใครที่จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ แต่กับคุณรสาต่างกันมากเลยค่ะ อ้อ...มีอีกอย่างหนึ่งนะคะ ปกติคุณภัคไม่ค่อยชอบทานอาหารร่วมโต๊ะกับใคร โดยเฉพาะทานที่บ้าน แม้แต่คุณเผด็จนานๆถึงจะเชิญสักครั้ง แต่กับคุณรสาชวนทั้งกลางวัน ทั้งเย็น ถ้าวันไหน ไม่อยู่ก็ให้ป้าใจทำไว้ให้ คุณภัคเธอให้เกียรติคุณรสามากๆเลยค่ะ”

ปุยนุ่นสาธยายด้วยความชื่นชม คิดว่าชีวินได้ยินแล้วน่าจะรู้สึกดี แต่หารู้ไม่ว่าความเครียดกำลังเกาะกุมใจเขาต่างหาก

“ปุยล่ะโล่งอกแทนคุณรสาที่คุณภัคเธอปลื้ม เพราะถ้าไม่ปลื้ม แค่วันแรกก็ต้องไปแล้วล่ะค่ะ นี่อยู่มาได้ตั้ง หลายวัน ปุยล่ะดีใจจริงๆ”

ยิ่งฟังชีวินก็ยิ่งอึ้ง หน้าตาเครียดอย่างเห็นได้ชัดจนปุยนุ่นเริ่มสังเกตเห็น

“คุณชีวินไม่ดีใจเหรอคะที่คุณภัคปลื้มคุณรสา”

ชายหนุ่มสะอึกพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มแห้งๆแหะๆด้วยความหนักใจ

ooooooo

อ่านละคร ตะวันทอแสง ตอนที่ 4

เพราะไม่ได้ตั้งใจมาซื้อสินค้าในร้านนี้ ทำให้ภคพงษ์ตัดสินใจเองไม่ได้เมื่อถูกพนักงานถามต้อนไปต้อนมาหลังจากดูขั้น ตอนการผลิตครบถ้วนและเดินชมผลิตภัณฑ์จนทั่วร้าน

เมื่อนึกไม่ออกบอกไม่ถูก เขาจึงโยนหน้าที่ให้รสาฐานะอินทีเรียตกแต่งบ้าน แต่เอาเข้าจริงเขาก็แอบส่งซิกกับเธอด้วยการส่ายหน้าปฏิเสธทุกอย่างที่ พนักงานนำเสนอ ทำเอารสาเซ็งจัดและเกรงใจพนักงาน

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาห้าโมงเย็น

“เปลี่ยนใจอะไรคะ” รสาไม่เข้าใจ

“ผม เห็นด้วยกับคุณ...เรื่องที่คุณไม่ได้ใส่โอ่งไว้ในแบบบ้าน แล้วผมคิดว่าคุณควรจะใส่ของพวกนี้ลงไปในแบบก่อน แล้วครั้งต่อไปเราค่อยมาเดินดูกันอีกครั้ง”

“เรา? ครั้งต่อไปเนี่ยนะ” รสาเริ่มเสียงดังอย่างหงุดหงิด เขาไม่สนใจหันไปขอโทษพนักงานที่ทำให้เสียเวลา

“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้วค่ะ

“ขอบคุณครับ”

จาก นั้นเขาชวนรสากลับ โดยตัวเองเดินนำลิ่วไปที่รถ รสาก้าวตามหน้าบึ้งตึง ถามเอาเรื่องว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ภคพงษ์ยืนยันว่าตนตั้งใจจะมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ เธอสวนทันควันว่าไม่เชื่อ

“แล้วคุณคิดว่าผมตั้งใจจะทำอะไร”

“คุณตั้งใจจะแกล้งดิฉัน”

“ทำไมผมต้องแกล้งคุณ”

“นั่นคือสิ่งที่คุณต้องตอบดิฉัน”

“ผมไม่มีคำตอบ” เขาพูดง่ายแสนง่าย แต่มันทำให้คนฟังขัดเคืองใจอย่างที่สุด ถึงกับไปโวยวายต่อหน้า พิทยาและชีวินที่ออฟฟิศอย่างหัวเสีย

“คนอะไรก็ไม่รู้ กวนประสาทที่สุด เสียเวลาไปครึ่งวัน ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะพี่พิทตี้นั่นแหละ”

“อ้าว...ฉันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” พิทยาโอด

“ก็พี่พิทไฟเขียวให้เขา รสก็เลยปฏิเสธไม่ได้ ถ้ารสทำงานไม่เสร็จทันเวลา ใครจะรับผิดชอบ”

“แค่ออกไปเป็นเพื่อนลูกค้าดูเฟอร์นิเจอร์จะโวยวายอะไรนักหนา ถ้าเธอทำงานไม่ทัน พี่เคลียร์กับคุณภัคเองไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“ถ้า พี่พิทตี้เคลียร์ได้ ผมว่าเคลียร์ตอนนี้เลยดีกว่าครับ” ชีวินแทรกขึ้น และอธิบายต่อไปเมื่อพิทยาไม่เข้าใจว่าเคลียร์อะไร “ก็เคลียร์ให้เขาเลิกจ้างรสไงครับ”

“อ้าวเฮ้ย! ไอ้วิน ทำไมพูดงี้วะ” พิทยาเสียงเข้มแมนขึ้นมาทันที

“ก็ ผมเห็นว่าตั้งแต่รับงานนี้มามีแต่ปัญหา บางทีนายภคพงษ์กับรสดวงอาจจะไม่สมพงษ์กันก็ได้นะครับ รีบๆแยกกันตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้เลยเถิด”

“นี่มันชักจะเข้าอารมณ์ส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงานแล้ว ไอ้วินเงียบไปเลย รีบๆก้มหน้าทำงาน อย่ามาชักใบให้ เรือเสีย”

ชีวิน จำใจเงียบ แต่ไม่วายมองหน้ารสาด้วยความเป็นห่วง ส่วนพิทยาตั้งหน้าปะเหลาะรสาว่าภคพงษ์ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องมากนิดหน่อยตามประสาคุณหนูเอาแต่ใจ อย่าไปถือสา ถ้าเรานิ่งๆเดี๋ยวเขาก็เลิกหาเรื่องไปเอง

“แล้วถ้าเขาไม่เลิกล่ะครับ” ชีวินโพล่งขึ้นอีก พิทยาหันขวับมาจ้องตาแทบหลุด พร้อมกับชี้นิ้วให้ก้มหน้าทำงานต่อไป ห้ามมีปากมีเสียงเด็ดขาด

อีก ครู่ต่อมา รสาเดินครุ่นคิดเรื่องภคพงษ์ออกมาหน้าบริษัท นึกถึงรูปวัยเด็กที่เห็นวันก่อนแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ หรือเด็กมีปัญหากันแน่ และเพื่อให้เคลียร์จึงรีบโทร.ขอความช่วยเหลือจากคัพเค้กให้หาข้อมูลโดยเร็ว ที่สุดว่าแม่ของภคพงษ์เป็นใครมาจากไหน และตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

ooooooo

ค่ำคืน อันเงียบเหงา ภคพงษ์กลับมาจมอยู่กับความเศร้าสะเทือนใจอีกครั้ง เมื่อก้าวย่างเข้ามาในเรือนเล็กซึ่งเต็มไปด้วยอดีตที่แสนปวดร้าว...

หลัง จากแม่รัชนีทิ้งเขาและพ่อไปได้ไม่นาน พ่อตรอมใจเจ็บไข้ได้ป่วยเรื่อยมาจนวันหนึ่งท่านก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่ไม่ได้กลับมาเผาศพพ่อ แต่มาในวันเปิดพินัยกรรมด้วยเสื้อผ้าสีสันไม่มีร่องรอยความเสียใจให้เห็นสัก นิด แม่จดจ่อกับพินัยกรรมอย่างมาก แต่ปรากฏว่าแม่ถูกตัดจากกองมรดกไม่ได้รับอะไรแม้แต่สิ่งเดียว

รัชนีแค้น ใจมาก พรวดพราดออกจากบ้านด้วยความหงุดหงิดผิดหวัง โดยไม่ฟังเสียงร่ำร้องของลูกชายตัวน้อยที่วิ่งตามจนถึงหน้าบ้าน สายใจกับเผด็จต้องตามมาจับตัวเขาไว้

“คุณผู้หญิงคะ คุณผู้หญิงจะไปจริงๆเหรอคะ” สายใจเอ่ยปากอย่างวิงวอน

“ใน เมื่อคุณพรตยกสมบัติทุกอย่างให้ลูกชายของเขา ทั้งเงิน หุ้นบริษัท บ้าน ที่ดิน แม้แต่เครื่องเพชร ไม่มี อะไรเป็นของฉันสักอย่าง คุณพรตทำกับฉันขนาดนี้ ฉันจะอยู่ทำไม”

“แต่ถ้าคุณอยู่ดูแลคุณภัค คุณพรตก็ให้เงินคุณทุกเดือนนะครับ” เผด็จหว่านล้อมด้วยความจริง

“ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก งานแบบนั้นให้สายใจทำไปก็แล้วกัน...ฉันฝากเธอสองคนดูแลด้วย”

รัชนี ตัดใจเดินลิ่วไปไม่เหลียวหลัง เด็กชายภคพงษ์ ตกใจและไม่เข้าใจ แต่ก็ตะโกนเรียกแม่ลั่นพร้อมกับวิ่ง ตามบอกว่าจะไปกับคุณแม่ สายใจรั้งเขาไว้ทั้งน้ำตาด้วยความสงสาร ขณะที่เผด็จแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คิดในใจว่า รัชนีช่างเลือดเย็นเสียนี่กระไร ทิ้งลูกน้อยไร้เดียงสาอย่างไม่ไยดี...

ภาพอดีตครั้งนั้นจางหายไปพร้อมๆ กับแววตาแข็งกระด้างของภคพงษ์ที่บัดนี้ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป มีแต่ ความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจ เขาเดินมาหยุดมุมหนึ่งในห้องรับแขกที่ยังตกแต่งไม่เสร็จ พูดกับรูปพ่อที่ติดไว้บนผนังด้วยน้ำเสียงชิงชังคนเป็นแม่

“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณพ่อถึงไม่ยอมแบ่งสมบัติให้ผู้หญิงคนนั้น”

ooooooo

เช้า วันรุ่งขึ้น รสามาทำงานตามปกติ เธอมุ่งมาที่มุมประจำของสายใจเพื่อส่งมอบกล่องรูปถ่ายที่เอามาจากเรือนเล็ก ให้สายใจเก็บไว้ เพราะกลัวจะหายในระหว่างการซ่อมแซม

“ขอบคุณค่ะ สงสัยจะเป็นกล่องของคุณหนูตั้งแต่สมัยเด็กๆน่ะค่ะ”

“ป้า ใจคะ ตั้งแต่รสมาทำงานที่นี่ รสเห็นแต่รูปของคุณพรตพ่อของคุณภคพงษ์ ยังไม่เคยเห็นรูปคุณแม่เลย ป้าใจพอจะมีไหมคะ รสอยากรู้จักไว้ ถ้าได้เจอท่านจะได้ทราบว่าเป็นใคร”

สายใจชะงัก...แววตาเศร้าลงทันใด “คุณรสาไม่ต้องกังวล มันคงไม่มีวันนั้น”

“ทำไมคะ หรือว่า...ท่านเสียไปแล้ว”

“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” สายใจตอบเพียงแค่นี้แล้วก็เงียบไป รสาแปลกใจแต่ไม่กล้าถามต่อ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...

เช้า วันเดียวกันที่ระยอง พิมพรรณรีบร้อนจะออกไปทำงานเพราะวันนี้มีประชุมกับผู้อำนวยการ แต่ปรากฏว่า ห้าวซึ่งมีหน้าที่รับส่งเธอทุกวันยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว เธอร้อนใจมากเร่งห้าวเป็นการใหญ่ ห้าวรับปากอีกห้านาทีเสร็จแน่นอน

พอ ห้าวคล้อยหลัง โทรศัพท์มือถือพิมพรรณดังขึ้นทันที วาริชโทร.มาบอกว่าตนอยู่หน้าบ้านของเธอ หญิงสาวซักถามด้วยความแปลกใจก่อนรีบร้อนออกไปอาศัยรถเขาตามคำชวน โดยไม่ลืมโทร.บอกห้าวว่าตนไปกับเพื่อนแล้ว ห้าวกำลังจะถามว่าเพื่อนคนไหน แต่เธอชิงวางสายไปเสียก่อน

วาริชพอใจที่พิมพรรณให้ความเป็นกันเองยอมขึ้นรถมากับตน และหมายผูกมิตรตีสนิทกับเธอให้มากกว่านี้

“พิมต้องขอบคุณวาริชมากนะคะ ที่ให้พิมติดรถมาด้วย”

“ด้วย ความยินดีเลยครับ ผมเพิ่งมาทำธุระที่ตลาดน่ะครับ เสร็จธุระจะไปโรงเรียน พอดีขับผ่านมาเห็นป้าย บ้านพร้อม ก็เลยลองเลี้ยวรถเข้ามาดูให้แน่ใจว่าเป็นพร้อมเดียวกันหรือเปล่า”

“แถบนี้มีอยู่พร้อมเดียวนี่แหละค่ะ”

“สวยนะครับ...ผมหมายถึงรีสอร์ตน่ะครับ...สวยมาก”

“รสเป็นคนออกแบบค่ะ”

“รส? เป็นใครครับ”

“เป็นคนสำคัญของพิมค่ะ เอาไว้ถ้าเจอ พิมจะแนะนำให้รู้จักค่ะ ไม่แน่นะคะ วันที่วาริชมาเยี่ยมชมรีสอร์ต รสอาจจะอยู่ด้วย”

“ได้ครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนสำคัญของพิมจะหน้าตาเป็นยังไง”

ชายหนุ่มส่งยิ้มหวาน หญิงสาวยิ้มรับด้วยท่าทีขวยเขิน

ooooooo

เสร็จ ธุระกับสายใจแล้ว รสาออกมาขึ้นรถตัวเองเพื่อขับไปยังเรือนเล็ก เธอสตาร์ตเครื่องหลายครั้งไม่ยอมติด กระทั่งเปลี่ยนออกมาเห็นจึงช่วยดูให้ แต่ทำยังไงก็ไม่ติดอยู่ดี เปลี่ยนแนะนำให้เรียกช่างที่อู่ประจำของเจ้านายมาดู รสาท่าทีเกรงใจจะปฏิเสธ ก็พอดีสายใจเดินออกมากับปุยนุ่น

“ไม่ต้องแต่หรอกค่ะ เดี๋ยวให้ไอ้เปลี่ยนมันจัดการ โทร.ไปเลย บอกให้เขารีบจัดช่างมา” สายใจรวบรัดจนรสาปฏิเสธไม่ออก ตอบขอบคุณแล้วเดินเข้าไปพูดกับรถตัวเองเบาๆอย่างเป็นกังวล

“เย็นนี้แม่ต้องไปหาพี่พิมที่ระยอง อย่าเป็นอะไรมากนะกระป๋องลูกแม่”

ผ่าน ไปพักใหญ่ เจ้ากระป๋องของรสาถูกลากออกจากบ้านเถลิงยศ รสายืนมองหน้าละห้อย ข้างตัวมีกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่และกระเป๋างานอีกหนึ่งใบกลาง

“ช่างเค้าบอกว่าน่าจะสองสามวันถึงจะเรียบร้อยน่ะครับ เพราะอะไหล่รุ่นนี้มันหายากต้องใช้เวลานานหน่อย”

อ่านละคร ตะวันทอแสง ตอนที่ 3-4 วันที่ 19 ก.ย. 55

ละครเรื่อง ตะวันทอแสง บทประพันธ์โดย : ปิยะพร ศักดิ์เกษม
ละครเรื่อง ตะวันทอแสง บทโทรทัศน์โดย : ณัฐิยา ศิรกรวิไล
ละครเรื่อง ตะวันทอแสง กำกับการแสดงโดย : พีรพล เธียรเจริญ
ละครเรื่อง ตะวันทอแสง ดำเนินการผลิตโดย : อรพรรณ วัชรพล(โพลีพลัส จัดให้)
ละครเรื่อง ตะวันทอแสง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เสาร์ และวันอาทิตย์ เวลา 20.25 น.
ละครเรื่อง ตะวันทอแสง ออกอากาศทาง ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา ไทยรัฐ