@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3/3 วันที่ 10 ก.ย. 55

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3/3 วันที่ 10 ก.ย. 55

“เพราะเธอกำลังทำลายครอบครัวคนอื่น”
กรรณนรีงง “ฉันทำลายครอบครัวใคร?”
สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาหา “ก็คนที่เธอไปกับเค้าไง...รู้ไว้ด้วย พี่นพมีลูกมีเมียแล้วนอกซะจากเธอตั้งใจเป็นเมียน้อยเค้า เพราะเธอได้นิสัยแม่เธอ”
กรรณนรีบันดาลโทสะตบเข้าที่หน้าเสียงดังเผียะ สรวงมองจ้องหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฉันไม่ให้เธอทำลายครอบครัวคนอื่นเป็นอันขาด กรรณรี

สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาจูบอีก จักจั่นเดินออกมาจากซอยเห็นสะดุ้งโหยง ป้าขาเม้าท์ขยี้ตามองอีก เห็นสรวงจูบกรรณนรีคาตา
“บร๊ะเจ้า” ป้าจั๊กจั่นอุทาน

กรรณนรีตบหน้าสรวงอย่างแรงพร้อมกับร้องไห้ออกมา จากนั้นก็วิ่งหนีเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว สรวงมองตามไม่รู้ตัวเลยว่าหึงกรรณนรีเข้าให้แล้ว
คืนนั้น พอกรรณนรีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก็ทุ่มตัวลงบนเตียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ หญิงสาวกำมือแน่นทุบๆๆ ลงที่เตียงระบดระบายอารมณ์



“ฉันเกลียดคุณ คุณสรวงเกลียดๆๆ” ทุบแล้วทุบอีก “ชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”
กรรณนรีทุบๆๆ มือที่กำทุบค้างไว้ นึกถึงวินาทีที่ถูกสรวงจูบขึ้นมาอีก กรรณนรีค่อยๆ เอามือ
มาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเช็ดออกแรงๆ อย่างรังเกียจ ก่อนจะหยุด ใบหน้าสรวงลอยมา
“คนบ้า! เมื่อไหร่จะไปให้พ้นจากหน้าฉันซักที”
กรรณนรีเอามือแตะริมฝีปากค้างอยู่อย่างนั้น

ทางด้านสรวงนั่งเอามือกุมขมับอยู่บนเตียงนอนในห้อง สีหน้าเครียดจัด เสียงของกรรณนรีดังก้อง
“ฉันเกลียดคุณๆๆๆๆ”
สรวงพ่นลมหายใจยาว เอามือลูบหน้าตัวเองท่าทีเครียดไม่หาย ตำหนิตัวเอง
“ทำไมไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างนี้วะสรวง” สรวงเอามือออก ครุ่นคิด “โทร.ไปขอโทษดีกว่า”
สรวงหยิบมือถือมา ทำท่าจะกด แล้วค้างเอาไว้ ถามใจตัวเอง
“แล้วจะโทร.ไปบอกว่าอะไรล่ะ ขอโทษ..ไม่ได้ตั้งใจ...” สรวงครุ่นคิด “ไม่ใช่...เราตั้งใจ
นี่หว่า” นึกแล้วนึกอีก “แต่ถ้าโทร.ไปบอก ขอโทษ..ผมตั้งใจ โอ” สรวงเอามือลูบผมอย่างสับสนและหนักใจ “คงถูกเค้าด่าว่าหื่น โทร.ไปยังไงก็ถูกด่าอยู่ดี เอาไงดีสรวง?” เครียดหนักกว่าเดิม “แล้วต่อไปจะสู้หน้าเค้าได้ยังไงเนี่ย”
สีหน้าสรวงเครียดเคร่งสุดแสนจะหนักใจ

คืนเดียวกันนั้น ประตูบ้านป้าตั๊กแตนถูกทุบปังๆๆๆๆ
ป้าจักจั่นเรียกด้วย น้ำเสียงตื่นเต้น “ป้าตั๊กแตนๆ”
ป้าตั๊กแตนเปิดประตูในอาการงัวเงียออกมา “อะไร...มาเคาะประตูอะไรดึกดื่นป่านนี้?”
“มีเรื่องเด็ด” ป้าจักจั่นยิ้มกริ่มบอก
ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “มีเลขเด็ด”
ป้าจักจั่นหน้ามุ่ย “เรื่องเด็ด”
“บ๊ะ! ไอ้ฉันก็นึกว่ามีเลขเด็ด”
ป้าจักจั่นยิ้ม พูดเป็นนัย “ป้าตั๊กแตนฟังเรื่องนี้ แล้วจะไปตีเป็นเลขเด็ดก็ได้”
ป้าจักจั่นยกสองมือไขว้กัน เอานิ้วชี้สองนิ้วมาเกี่ยวกัน
“อะไรวะฉันแปลไม่ออก? เกี่ยว เป็นเลขแปด” ป้าตั๊กแตนเริ่มตีเลข
จักจั่นเซ็ง “เฮ้อ! เล่าเลยดีกว่า ไอ้หนุ่มหน้ามลคนหล่อ ที่มาบ้านพ่อเกริกเมื่อวันนั้นจูบกาว”
ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “หา!ไอ้หนุ่มหน้ามล คนหล่อ จูบกาว” ทำท่าคิด “จูบกาวก็ต้องเจ็ดก้าว” พร้อมกับเอามือเกี่ยวกันเหมือนป้าจักจั่นล้อๆ “สองคนนัวเนีย ก็ต้อง...”
“สองเจ็ดก้าว” สองป้าประสานเสียงหัวเราะดังสนั่น
ป้าตั๊กแตนพูดอย่างมาดหมาย “เต็งโต๊ด ขึ้นลง ไม่มีพลาด 5555”

เวลาเดียวกันกรรณนรีเดินออกมาที่หน้าบ้าน ยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ
สรวงเองก็ออกมาเดินที่สนามหน้าบ้านอาการเดียวกัน
กรรณนรียกมือแตะริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ขณะที่สรวงก็เผลอเอามือจับริมฝีปากตัวเองเหมือนกัน
กรรณนรีเดินอยู่ จู่ๆ ใบหน้าสรวงลอยอยู่ตรงหน้า กรรณนรีตกใจ
“อะไรเนี่ย?” กรรณนรีมองหนีไปที่อื่น หรือที่ไหน ก็ยังเห็นหน้าสรวงยิ้มอยู่เหมือนเดิม กรรณนรีอ่อนใจ
เช่นเดียวกับสรวง เดินๆ อยู่ ใบหน้ากรรณนรีก็ลอยมา สรวงหลบไปทางอื่นก็ยังเห็นใบหน้าบึ้งตึงของกรรณนรีมองมาอย่างโกรธขึ้ง
“เธอคงจะโกรธฉันมากกรรณรี” สรวงรำพึง
กรรณนรีพึมพำ “ฉันจะไปคิดถึงคุณทำไม? คุณสรวง”
สองคนสุดแสนจะกลัดกลุ้มไม่ต่างกันเลย

ส่วนทางด้านภาพิศนั่งรออย่างกระวนกระวาย สีหน้าเครียดเคร่งอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมป่านนี้ท่านยังไม่มาอีก?”
นึกถึงเสียงสุขฤทัยที่ปลอมเป็นเด็กสาวโทร.มาป่วน ภาพิศชักสีหน้า
“อย่าบอกนะว่าท่านอยู่กับเด็กคนนั้น” ภาพิศโกรธ ทำท่าจะอาละวาด แต่ข่มอารมณ์ได้ เตือนตัวเอง “ อย่าใช้อารมณ์ภาพิศ” พลางสูดลมหายใจแล้วโทร.ออก ทว่าปลายสายปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ “ท่านปิดโทรศัพท์ หมายความว่ายังไง”
ภาพิศใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกไม่ค่อยดี

เช้าวันต่อมา ที่รีสอร์ตแห่งนั้น อารักษ์เดินไปเรื่อยๆ ท่าทางครุ่นคิด นึกถึงเรื่องที่รับปากภาพิศจะจัดการกับคุณหญิงสุดา ไม่ให้มีเรื่องเกิดกับภาพิศอีก พร้อมๆ กับเหตุการณ์ที่ถูกสุดาด่า
อารักษ์ถอนใจพึมพำเบาๆ
“ผมไม่เคยคิดเลิกกับคุณหญิง แต่เมื่อเรื่องมันบานปลายมาถึงตอนนี้...มันคงต้องจบเสียที”
อารักษ์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

สุดานั่งอยู่ในห้อง กำโทรศัพท์มือถือแน่น หน้าตาไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เสียงสมหญิงมารดาสุขฤทัยดังก้อง
“คุณหญิงต้องใจเย็นๆ ค่ะ ความในอย่าให้ออก ความนอกอย่าเอาเข้า ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อน นังภาพิศมันทำได้ คุณหญิงก็ต้องทำได้สิคะ”
“ขอบคุณคุณสมหญิงมากค่ะที่ให้สติ” สุดาลดสายตาลง แต่ดูออกว่าดวงตาคู่นั้นเหนื่อยล้ามากๆ

เช้าเดียวกันนั้นพลตรีอารักษ์เดินเข้ามาในบ้าน เหมือนคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว สุดาเดินออกมาพอดี สองคนมองหน้ากัน สุดาพยายามข่มความเสียใจถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทานอะไรมาหรือยังคะ”
อารักษ์นิ่ง สุดาไม่เคยเป็นคนแบบนี้ สุดาฝืนยิ้ม
“ถ้ายัง...งั้นฉันจะให้เด็กจัดให้” เรียกสาวใช้ “พรรณี”
อารักษ์ร้องห้าม “ไม่ต้อง....ผมมาเก็บของเดี๋ยวเดียว”
สุดากับอารักษ์มองหน้ากัน สุดามีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาไหลริน ถามเสียงเครือสั่น

“เราจะเลิกกันจริงๆหรือคะ”
จังหวะนั้น สรวงเดินลงบันไดมาจากด้านบน เห็นเหตุการณ์ ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ใจคอไม่ดีนัก เมื่อเห็นผู้เป็นมารดาร่ำไห้ออกมาอย่างแสนเสียใจ

“อย่าไปจากฉัน อย่าไปจากลูกได้มั้ยคะ? ฉันขอโทษ...ที่ผ่านมา ฉันทำตัวไม่ดี ฉันไม่เคยใส่ใจ ฉันไม่เคยให้เกียรติคุณ...แต่ฉันขอโอกาส ฉันขอโอกาสในการทำตัวใหม่....ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณจริงๆค่ะ” สุดาเดินเข้าไปกอดอารักษ์
อารักษ์ลำบากใจ เหมือนจะดันสุดาออก “คุณหญิง”
ทว่าสุดากอดอารักษ์ไว้แน่น
“อย่าไปจากฉันเลยนะคะ....คุณจะเอายังไงก็ได้...” แววตาแสนชอกช้ำขมขื่น และไม่ยอม! “คุณจะมีภาพิศก็ได้” สุดากัดฟันพูด”คุณจะมีผู้หญิงเป็นสิบเป็นร้อยคนก็ได้ ฉันขอร้อง อย่าไปจากฉันก็พอ”
เจอไม้นี้อารักษ์ก็ใจอ่อน “อย่าร้องไห้...โอเคๆ ผมจะไม่ไปจากคุณ....เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
“ขอบคุณค่ะขอบคุณ”
อารักษ์เอามือแตะหลังของสุดาเบาๆ สรวงมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ จังหวะนั้นแววตาสุดาวาวโรจน์แบบไม่ยอม

สุดาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ท่าทีผู้แพ้เมื่อครู่ ไม่เหลือเค้าสักนิด ดวงตาของสุดากร้าว ขณะจับกรอบรูปของอารักษ์ขึ้นมาดู
“คุณคงไม่รู้หรอกคุณอารักษ์ ฉันเจ็บจนใจฉันตายไปแล้ว ที่เหลือมันเป็นเกม ซึ่งฉันจะแพ้นังภาพิศไม่ได้”
สุดากระแทกรูปอารักษ์ลงกับโต๊ะ ดวงตาเจ็บช้ำ ไม่เหลืออีกแล้วความรัก

ภาพิศแต่งตัวอยู่หน้ากระจก สีหน้าแววตาหมองหม่น แต่ภาพิศลงเครื่องสำอางเอาไว้
“อย่าให้ใครรู้ ว่าเรามีปัญหา” ภาพิศแต่งหน้าพร้อมกับเตือนตัวเอง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดัง ขึ้น ภาพิศดูชื่อรีบกดรับ ยิ้มอย่างดีใจ “คุณพี่จะทานอะไรดีคะ ภาจะได้จัดไว้ให้”
อารักษ์อยู่ที่คฤหาสน์บอกต่อ “เปล่า...พี่ไม่ได้เข้าไป”
ภาพิศหน้าเจื่อน พยายามคุมอารมณ์ “แล้วคุณพี่โทร.มา มีอะไรหรือคะ จะให้ภาไปเจอที่ไหน”
“เปล่า...พี่โทร.มาบอกว่า ช่วงนี้อาจจะไม่ได้เข้าไปหาภา ถ้าภาอยากไปเที่ยวที่ไหน บอกมา เดี๋ยวพี่จัดการให้”
มือของภาพิศกำโทรศัพท์แน่น ดวงตาเป็นประกายหน้าเข้มเคร่ง รีบปรับสีหน้าน้ำเสียง
“ไม่เป็นไรค่ะ... ช่วงนี้ภาเองก็ยุ่งเหมือนกัน คุณพี่ทำธุระตามสบายเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วง....ภามีคุณแฉล้มเป็นเพื่อนค่ะ”
ปากยิ้มใบหน้าแย้มบาน แต่แววตาของภาพิศวาวโรจน์
ขณะที่ด้านหลังนายพลอารักษ์ สุดายิ้มพอใจ

ไม่นานนัก ภาพิศเดินตรวจดูเพชรในร้านด้วยท่วงท่าปกติ สบายๆ แฉล้มซะอีกที่หน้ามุ่ย
“โถๆๆๆ ท่านมาไม้นี้แล้วคุณจะทำยังไงคะ?”
“ไม่ทำยังไงค่ะ” ภาพิศบอก
“คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”
ภาพิศยิ้มเครียด “รู้สึก แต่ทำไมต้องแสดงออก” มองหน้าแฉล้มขณะพูดประโยคต่อมา “จริงๆคุณน่าจะรู้ดีมากกว่าฉันนะคะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ เค้าจะกระวนกระวาย วิ่งมาหาเราเองยิ่งเราตาม เค้าก็ยิ่งหนี”
“เหมือนที่คุณหญิงสุดา ทำกับท่าน” แฉล้มฉอเลาะ
“ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงให้ผู้หญิงทำตัวมีอำนาจเหนือกว่าหรอกค่ะ ถึงฉันจะไม่พอใจ ฉันก็ต้องข่มเอาไว้ ในเมื่อเสน่ห์ของผู้หญิงคือความอ่อนแอน่าสงสาร”
“อย่างที่คุณกำลังทำอยู่” แฉล้มยิ้มกริ่ม “คุณเหนือชั้นกว่าบ้านใหญ่อีกตามเคย
ระหว่างนั้นสุดาเดินผ่านหน้าร้านเพชรกับสุขฤทัย หยุดยืนแล้วหันมายิ้มเหยียดๆ ภาพิศมองตอบพลางยิ้มเย้ย
“บ้านใหญ่ก็เป็นได้แค่หมาวิ่งไล่งับเงาตัวเองเท่านั้นล่ะค่ะ วิ่งเท่าไรก็ตามไม่ทัน”

ที่ห้างสรรพสินค้าเวลานั้น สุดาเดินมากับสุขฤทัย ท่าทางของสุดาดีขึ้น สุขฤทัยจีบปากประจบ
“ถูกแล้วล่ะค่ะที่คุณหญิงแม่ เดินหมากอย่างนี้ อย่างน้อย ก็ได้รู้เอาเข้าจริงคุณพ่อท่านก็ยังรักคุณหญิงแม่อยู่”
สุดายิ้ม “มารยาเนี่ย นานๆทำก็สนุกดีเหมือนกัน”
“ไม่ใช่แค่สนุกค่ะ ชนะด้วย กว่านังภาพิศมันจะรู้ตัว มันก็กลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไปแล้ว มันจะได้รู้ซะบ้าง ว่ามันไม่ได้มารยาเป็นคนเดียว”
สุขฤทัยยิ้มย่อง

สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง แต่ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จนต้องลุกขึ้นมาเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง
“ปัญหาของคุณพ่อคุณแม่ออกจะหนักหน่วง ท่านยังผ่านมันไปได้ แล้วเรื่องเราเล็กน้อยจะตาย จะป๊อดไปทำไมสรวง” มองมือถือ “แต่เธอก็น่ากลัวเหมือนกัน...ฉันจะทำยังไงกับเธอดี กรรณนรี” สรวงได้แต่ครุ่นคิด ก่อนจะนึกพาล “แต่มันก็เป็นความผิดของเธอแหละ เธออยากไปยุ่งกับคนมีครอบครัวทำไม?”

ส่วนกรรณนรีเดินเข้ามาในออฟฟิศ ท่าทางโรยๆ มะยมถามตามประสา
“เมื่อคืนทำไรมา หน้าตาเหมือนกับไม่ได้หลับได้นอน”
นิคแซว “แอบไปเดทกับผู้ชายมาล่ะซี้”
กรรณนรีหน้าร้อนผ่าว “พูดบ้าๆ ทำงานย่ะ”
นิคยั่วไปงั้นๆ “ทำงานแล้วทำไมปากแดง แก้มแดง”
มะยมผสมโรงมองจ้องอย่างจับผิด “ดูปากบวมจริงๆด้วย”
นิคพลอยพยักเพยิด “เออใช่! บวมจริงๆ นังเจ๊ ไปฉีดฟิลเลอร์มาแหงๆ”
มะยมมองจ้องอีก “หมอที่ไหนทำให้เนี่ย ปากบนดูบวมกว่าปากล่าง แกต้องไปให้หมอเติมให้ใหม่นะกาว ปากแกจะได้อวบอิ่มเท่ากัน”
กรรณนรีเจอรุมจนเสียเซ้ลฟ์ จับปากตัวเอง “บ้า!ฉันไม่ได้ทำอะไรย่ะ ก็บอกแล้วทำงานๆๆ”
จ๋าเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี “ดี! ทำงาน ไหนเอางานมาดูซิ” แบมือทวงต้นฉบับ
กรรณนรีหน้าจ๋อย “ยังไม่เสร็จค่ะ”
“หมู่นี้กาวเป็นยังงี้ทุกที ไรเนี่ย? รีบเขียนให้เสร็จเร็วๆ พี่อยากอ่านแล้ว” พูดจบจ๋าก็เดินออกไป
“จะเขียนได้ยังไง? ยังไม่ได้สัมภาษณ์ซักคำ มีแต่...” เผลอจับปากตัวเอง
นิคยื่นหน้าเข้ามามองเหล่ “คุณสรวงทำอะไรแก”
กรรณนรีเหวอ...ปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า...”
“คุณสรวงยังไม่ให้แกสัมภาษณ์อีกเหรอ” มะยมถาม ขณะที่กรรณนรีนั่งนิ่ง อาการเครียดๆ “ โอเค...เดี๋ยวฉันตามต่อให้เอง” เดินไปที่โต๊ะพูดพึมพำ “คุณนพ”

มะยมรื้อกล่องเก็บนามบัตรออกมาดู
ปรากฏว่ามือถือของนพวางอยู่โต๊ะทำงานในห้อง กรีดเสียงดังลั่น แต่ไม่มีคนรับ มะยมหันไปมองกรรณนรี เห็นกรรณนรีนั่งเหม่อ เหมือนมีเรื่องกลุ้มใจ มะยมครุ่นคิด

ที่แท้นพเอาแปลนมาคุยงานอยู่กับสรวง ท่าทางของนพนั้นดูอารมณ์ดีมาก
“สรุปแบบตามนี้เลยนะ พี่จะได้คุยกับลูกค้า”
สรวงมองนพตาขวาง “ท่าทางอารมณ์ดีนะพี่”
ถูกนพแซวกลับเอา “พี่ว่าพี่ปกตินะ แต่ท่าทางนายดูอารมณ์เสียมากกว่า ไง...มีเรื่องกับใครอีก”
“ผมไม่ใช่คนช่างหาเรื่อง” สรวงมองจ้องจับกิริยา
นพหัวเราะขำไม่ถือสา “แต่นายพูดเหมือนจะหาเรื่องพี่เลยว่ะ”
ระหว่างนั้น เลขาของสรวงเดินเข้ามา “คุณนพขา...นักข่าวจาก สตาร์ อินเทรนด์ ขอพบค่ะ”
“ฉันเหรอ?” นพงง ชี้ตัวเองอย่างไม่แน่ใจ
“ค่ะ” เลขาบอก
“โอเค.” หันมาทางสรวง ตบไหล่สัพยอก “ไว้อารมณ์ดี ค่อยคุยกันสรวง” แล้วนพก็เดินออกไป
สรวงนึกยัวะขึ้นมาทันที “เมื่อคืนไปด้วยกันไม่พอ วันนี้ตามมาหาพี่นพถึงที่นี่เลยเหรอ กรรณนรี เธอนี่จริงๆ เลย พี่นพก็เหมือนกัน ทำไมเป็นคนแบบนี้”
ชายหนุ่มพาล และหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล

ที่ด้านนอกอาคารออฟฟิศ มะยมยืนหันหลังอยู่ นพเดินออกมาเห็นข้างหลังแต่จำได้ เอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว! คุณมะยม”
มะยมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ...ตะกี้มะยมโทร.มาคุณนพไม่ได้รับสาย มะยมร้อนใจ เลย...ขออนุญาตมาหาถึงที่เลย”
“ยินดีครับ” นพบอก
“คุณสรวงว่ายังไงบ้างคะ?” มะยมเข้าเรื่อง
“ยังไม่ได้คุยเลยครับ นายสรวงเป็นไรไม่รู้ ’รมณ์เสียทั้งวัน”
มะยมฟังแล้วกลุ้ม “กาวก็เหมือนกัน ...ท่าทางเครียดๆ ทั้งวัน” จู่ๆ ก็นึกสงสัย “เค้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน คุณนพรู้มั้ยคะ”
นพยิ้มตอบมีเลศนัย “ไม่-รู้-ครับ”
มะยมมองนพ “แต่มะยมว่า ต้องมีแน่ๆเลย”
สรวงเดินเข้ามาทางด้านหลังนพ ร่างนพบังผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ สรวงนึกเอาเองว่าเป็นกรรณนรี สรวงเสียงเข้ม
“ที่นี่เป็นที่ทำงานนะครับพี่นพ ไม่ใช่ที่นัดเดท”
นพหันไปหา พอสรวงเห็นเป็นมะยม สรวงก็เหวอ มะยมก็เหวอ
“เฮ้ย! พูดเป็นเล่น ใครจะนัดเดทตรงนี้” นพติง
มะยมไม่ชอบใจคำพูดสรวงนัก “ขอโทษค่ะคุณสรวง....มะยมมาตามงานค่ะ”

สามคนอยู่ในออฟฟิศ แม่บ้านเอากาแฟมาเสิร์ฟให้มะยม
“หมายความว่า...เมื่อวาน...คนที่มาคือคุณมะยม” สรวงเอ่ยขึ้น
“ฮื่อ!ใช่!” นพบอก
“คุณสรวงคิดว่ากาวเหรอคะ” มะยมสงสัย
สรวงเลิ่กลั่ก ยิ้มเขิน ปฏิเสธ “เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไร” สรวงรู้สึกผิด พูดเบาๆ กับตัวเอง “แย่แล้วสรวง ปากพล่อย ด่าผิดคน”
มะยมได้ยินไม่ชัด งง “อะไรคะ”
สรวงยิ้มแหะๆ “เชิญคุณมะยมกับพี่นพตามสบายนะครับ” สรวงจะเดินออกไป
มะยมรีบเรียกไว้ “คุณสรวงคะ แล้วคิวสัมภาษณ์?”
“เดี๋ยวผมจะติดต่อคุณกรรณรีเอง ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน วุ่นวาย”
สรวงยิ้มเดินออกไป มะยมกับนพมองหน้ากัน ทำหน้าทึ่งๆ ที่เห็นสรวงยิ้ม
“คุณสรวงเป็นคนน่ารักอย่างที่คุณนพว่าจริงๆ ค่ะ”
นพยิ้มงงๆ

สรวงเดินพล่านอยู่ในห้อง เหคุการณ์ที่ตัวเองต่อว่ากรรณนรี ตั้งใจเป็นเมียน้อยเหมือนแม่ผุดขึ้นมาหลอน
สรวงกุมหัวกุมขมับ “โอ้! เป็นนักเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่วะสรวง เขียนบทได้มั่วมาก คิดเองเออเอง เหมือนที่กรรณรีด่าจริงๆ เอาวะ...ลูกผู้ชาย ผิดต้องยอมรับผิด เธอจะด่าฉัน จะถีบฉัน ฉันก็ยอม กรรณรี”
สรวงบอกตัวเองแววตาหวานเยิ้ม

ค่ำนั้นกรรณนรีเดินหน้ายุ่งออกมาที่หน้าออฟฟิศ หลับหูหลับตาเดิน เอามือกุมหัวท่าเดียวกับสรวงเป๊ะ
“มันจะเป็นวันชง เดือนชง ปีชง อะไรกับฉันนักหนา ตั้งแต่เจอนายสรวงชีวิตฉันอยู่ไม่เป็นสุขเลย”
จังหวะนั้น กรรณนรีรู้สึกเหมือนชนอะไรซักอย่าง บ่นพึมพำ
“ขอโทษค่ะ” พอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสรวงยืนอยู่ “คุณสรวง” มองจ้องอย่างไม่เชื่อสายตา “เราตาฝาด” กรรณนรีขยี้ตาตัวเอง ลืมขึ้นมาอีก เพ่งมองก็ยังเห็นสรวงยืนอยู่ “ไม่ใช่....ชีวิตคนเรามันไม่ได้บังเอิญอะไรขนาดนั้น”
สรวงตัวเป็นๆ เอ่ยขึ้น “ก็ใครว่าบังเอิญ ผมตั้งใจ”
กรรณนรีเบิกตาจ้อง “คุณสรวง”
สรวงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เอ็นดูอยู่ในที “ฉันเอง”
กรรณนรีตั้งสติ “ขอร้อง อย่ามายุ่งกับฉัน ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย”
สรวงเย้าขำๆ “ผมยังไม่ตายซะหน่อย”
“ก็แล้วๆเมื่อไหร่จะตายๆไปซะทีล่ะ”
“ถ้าผมตาย แล้วคุณจะตามไปสัมภาษณ์ผม...ผมยอม”
กรรณนรีมองนิ่ง แปลกใจว่าสรวงมาไม้ไหน สรวงยิ้มอ่อนโยน ท่าทีเขินๆ บอกเสียงจริงใจ
“ถ้าคุณยังอยากสัมภาษณ์ผมอยู่ ผมจะเปิดบ้านทุกซอกทุกมุม ต้อนรับคุณโดยเฉพาะเลย”

กรรณนรี กลับเข้าออฟฟิศบอกข่าวดีเพื่อนๆ มะยม นิค ดีใจกันใหญ่
“เฮ้ย! จริงดิ คุณสรวงยอมให้แกสัมภาษณ์แล้ว”
“ฮื่อ!” กรรณนรีเชิด... “จริงๆฉันก็ไม่อยากคุยด้วยหรอก ก็แค่..ทำเพื่องาน”
มะยมทำหน้ายั่วล้อ “จริงดิ! ฉันเห็นตอนเค้ายังไม่ให้สัมภาษณ์ แกหน้าเหี่ยวยังกับอายุแปดสิบ”
นิคผสมโรง “ทีตอนนี้หน้ายังกับสาวสิบแปดเลย”

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3/3 วันที่ 10 ก.ย. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : -
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager