@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 7/4 วันที่ 27 ก.ย. 55

 

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 7/4 วันที่ 27 ก.ย. 55 

สุขหฤทัยขึ้นเสียงดังกว่า “แต่คุณเป็นแฟน และแฟนก็ควรทำหน้าที่ของแฟน ตามอย่างที่
       แฟนต้องการ”
      “ถ้าการเป็นแฟนมันยากขนาดนั้น งั้นเราเลิกกันดีกว่า” สวยกดวางสายทันที
       สุขหฤทัยกรี๊ดแตก ตกใจที่ถูกวางสาย “สรวง...ฤทัยไม่ยอมนะ ฤทัยไม่เลิก” เปิดประตูรถอย่างฉุนยเฉียว “หาเรื่องเลิกกับฉันเพื่อไปหานังนั่นเหรอ ไม่มีทาง”
       สุขหฤทัยขับรถทะยานออกอย่างโกรธเกรี้ยว
     
       มะยม กรรณนรี และนิค ต่างคนต่างทำงานกันไป อยู่คนละมุม กรรณนรีง่วนอยู่หน้าคอมพ์ มะยมกำลังซีร็อกซ์ ขณะที่นิคกำลังส่งแฟกซ์ ระหว่างนั้นมีเพื่อนร่วมงานเดินผ่านไปมา แล้วตะโกนคุยกันไปมา
       กรรณนรีเงยหน้าจากคอมพ์รับสายโดยไม่ได้ดูชื่อนึกว่าเป็นบอกอจ๋า “คะ...พี่จ๋า”
       สรวงพูดสายขณะกำลังจะเดินออกจากบริษัท “ผมเอง”
       กรรณนรีหัวเราะ “โทษทีค่ะไม่ได้มอง”
       มะยมกับนิคกระโจนกันเข้ามาประกบกรรณนรี ทำท่าขอแจมฟังด้วย
       “ผมมีประชุมข้างนอก ประชุมเสร็จ เดี๋ยวผมไปรับ แล้วเจอกัน”
       “ค่ะ” กรรณนรียิ้ม แล้ววางสาย
       “นิค...ต่อไปแกเตรียมทำข่าวนักข่าวสาว พบรักไฮโซหนุ่มด้วยนะโว๊ย” มะยมแซว
       นิคถาม “ว่าไงกาว”
       “ไม่รู้” กรรณนรียิ้มเขิน ก้มหน้าทำงานอย่างมีความสุข
     
       สรวงยิ้มกริ่มหน้าตามีความสุข ขณะเดินผ่านมาจะออกนอกออฟฟิศแล้ว เจอนพแซว
       “อยากรู้จริงๆ คุณภาพิศจัดอะไรให้นายเซอร์ไพร้ส์ แค่เดทแรกก็ทำให้นายลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว”
       “ใช่...ผมเซอร์ไพร้ส์...เซอร์ไพร้ส์จริงๆที่ได้เจอกรรณนรี” สรวงยิ้มตาเป็นประกาย
       “แปลว่า...”
       สรวงยิ้มย่อง “ผมไปเดทกับเค้ามา”
       นพตาโตคาดไม่ถึง “โห!” ครวญเพลงแซว “เมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอ ฉันรู้สึกราวกับเคลิ้มไป
       ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย...”
       สรวงหัวเราะ “ร้องเพราะนะเนี่ย น่าพาไปเตะบอล” ตบไหล่หยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี “แล้วเจอกันพี่นพ”
       สรวงเดินออกไป นพมองตามพร้อมกับอมยิ้มพลอยดีใจไปด้วย
      
       จังหวะที่สรวงขับรถออกไปท่าทางมีความสุขล้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสุขหฤทัยหน้าตาบึ้งตึงเอาเรื่องเลี้ยวรถเข้ามาหน้าบริษัท พอดี
      
       นพคุยงานอยู่กับเลขา สุขหฤทัยเดินหน้าบูดเข้ามา เลขารีบบอก
       “คุณสรวงไม่อยู่ค่ะ”
       “สรวงไปไหน”
       เลขาเงียบกริบ สุขหฤทัยหันมามองนพตาขวาง
       “บอกมาว่าสรวงไปไหน” จ้องหน้านพ “ว่าไงคะพี่นพ สรวงไปไหน”
       “ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้เป็นผู้จัดการสรวง”
       “อย่ามาพูดแบบนี้กับฤทัยนะคะ” สุขหฤทัยเอากระเป๋าทุบนพทันที “ฤทัยยังไม่ได้คิดบัญชีที่พี่
       นพฟ้องสรวงว่าฤทัยเอารูปมาติดออฟฟิศเลยน่ะ” ทุบตีพัลวัน
       นพเบี่ยงตัวหลบ ชักฉุน “แล้ววันนี้ถ้าสรวงรู้อีกว่าคุณมาวุ่นวายที่นี่จะเป็นยังไง”
       สุขหฤทัยมองตาเขียว “นี่พี่นพจะฟ้องสรวงอีกใช่มั้ยคะ”
       นพถอนหายใจเบื่อหน่าย “ผมว่าคุณฤทัยเอาเวลาไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์คดี
       เมาแล้วขับ ดีกว่ามาไล่ตามนายสรวงนะครับ” นพเดินหนีเข้าห้องไปทันที
       สุขหฤทัยร้องกรี๊ดด โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
      
       สุขหฤทัยขับรถมาตามทางหน้าตาเคียดขึ้ง พร้อมกดโทรศัพท์
       “ฉันไม่ยอม คอยดูนะ ฉันจะไปประจานนังกรรณรีถึงหน้าบ้านเลย”
      
       สุขหฤทัยเร่งเครื่อง เหยียบจนมิด
          เย็นนั้นขณะที่กาวินทร์กลับจากทำงานจอดรถเสร็จ กำลังจะเดินเข้าบ้าน เห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาเฉี่ยวเกือบชน กาวินทร์มองตาขวาง
      
       “ขับรถยังไง”
       กาวินทร์เดินปรี่เข้าไปหา เห็นเป็นสุขหฤทัยที่มองจ้องอยู่ เหยียดริมฝีปาก พอกาวินทร์เดินมา
       ใกล้ก็เปิดประตูออกมากระแทกใส่กาวินทร์อย่างแรง
       “โอ๊ย” กาวินทร์ ร้องลั่น
       สุขหฤทัยยิ้มพอใจแววตาเหี้ยมเกรียม “เก็บเสียงไว้ร้องตอนน้องแกตายดีกว่า”
       “คุณพูดแบบนี้คุณนั่นแหละจะตายก่อนน้องผม” กาวินทร์ปราดเข้ามากระชากร่างสุดแรง
       สุขหฤทัยดิ้นรนขัดขืน “ปล่อยฉัน เอาเวลาไปสั่งสอนน้องแกดีกว่า ว่าอย่าหน้าด้านแย่ง
       แฟนคนอื่น”
       กาวินทร์เย้ย “สงสัยแฟนคนอื่นจะหน้าแย่ง”
       สุขหฤทัยฉงน “หมายความว่าไง”
       “ก็คุณไง...ที่กำลังแย่งแฟนน้องผม...นี่ถ้าอยากมีแฟนผมสงเคราะห์ให้ก็ได้”
       กาวินทร์ดึงสุขหฤทัยเข้ามาจูบอย่างรวดเร็ว สุขหฤทัยไม่ทันตั้งตัว ตกใจร้องกรี๊ด กาวินทร์ฉวยโอกาสผลักสุขหฤทัยเข้าไปตรงเบาะหลังแล้วโถมตัวตามลงไป ปลุกปล้ำกอดจูบ สุขหฤทัยทั้งผลักทั้งดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
       “ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
       “ปล่อยทำไม? อุตส่าห์มายั่วถึงที่” กาวินทร์ยั่วล้อ “ไม่ถึงใจตรงไหน บอกแล้วกันนะที่รัก”
       สุขหฤทัยโกรธจนตัวสั่น “อื้อ” ตบเผียะ
       กาวินทร์ตะคอกเสียงดัง “ยัยขี้ไคล” โถมตัวกอดจูบหนักมากขึ้น
       ระหว่างนั้นมาลินีเดินถือกระเช้าน่ารักๆ ใส่ขนมเดินมา เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนัวเนียกันอยู่ตรงเบาะหลังรถ
       มาลินีตกใจ “ต๊าย!ใครมาทำอะไรแถวนี้”
       มาลินีหลับหูหลับตาเดินผ่าน แต่ขณะกำลังจะผ่านรถก็ได้ยินเสียงก่นด่า
       “ไอ้บ้าแก้ว ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
       “ไม่ปล่อย”
       มาลินีสะดุ้งเฮือก เหลียวขวับกลับไปมองทันที “พี่แก้ว”
       สุขหฤทัยเริ่มเหนื่อยล้า เสียงเริ่มอ่อนลง
       “ปล่อย”
       กาวินทร์ยิ้ม...ท่าทีอ่อนลง “รู้มั้ย...ตอนคุณทำหน้าอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ คุณน่ารัก น่าจูบ
       ที่สุดเลย”
       จังหวะนั้นกาวินทร์กับสุขหฤทัยมองสบตากัน สายตาที่มองกันเริ่มแปลกๆ กาวินทร์ประกบจูบสุขหฤทัยที่ริมฝีปาก ในจังหวะที่มาลินีเดินเข้ามาใกล้เห็นกับตา
       “พี่แก้ว”
       สองคนได้สติ สุขหฤทัยผลักกาวินทร์ออกจากรถ
       “ออกไป”
       จากนั้นสุขหฤทัยก็วิ่งอ้อมขึ้นรถขับออกไป กาวินทร์เรียก
       “คุณฤทัยๆๆๆ” หันมามองมาลินีที่ยืนหน้าซีด ถามเสียงเกรี้ยวกราด “มดทำอะไร”
      
       มาลินีวางกระเช้าขนมลงตรงโต๊ะในบ้าน พลางถามกาวินทร์ เสียงเครือ
       “มดสิ...ต้องถามพี่แก้ว ว่าพี่แก้วทำอะไร”
       กาวินทร์ทำไก๋ “พี่ทำอะไร”
       มาลินีเสียงสั่น “ก็ทำ..ทำอย่างที่พี่แก้วทำ มดถามจริงๆ พี่แก้วไม่อายคนบ้างรึไงคะ ถึงได้มาทำอะไรข้างถนนแบบนี้”
       กาวินทร์ย้อน “ไม่อาย คนที่มาแอบมองพี่สิต้องอาย”
       มาลินีตกใจ “พี่แก้ว”
       “เลิกยุ่งกับพี่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่ซะทีมด เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
       มาลินีน้ำตาไหลพราก “พี่แก้ว”
       กาวินทร์ใจหาย มองด้วยความสงสารแต่ก็เหนื่อยใจ “พี่ไม่อยากพูดอะไรแรงๆ ..แต่พี่...จำเป็นต้องพูด” ทำหน้ายุ่งยากใจ “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะ...ยุ่งมากไปกว่านี้” ตอนท้านกาวินทร์พูดเน้นคำ “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เลิกยุ่งกับพี่ซักที”
       “ค่ะ” มาลินีร้องไห้โฮ วิ่งเตลิดออกไป กาวินทร์ทำหน้าเหนื่อยใจ
      
       มาลินีวิ่งร้องไห้มาตามทางเจอเข้ากับภรตพอดี ภรตตกใจ คว้ามือมาลินีไว้
       “มด”
       “พี่ภรต” มาลินีรีบปาดน้ำตา
       “เป็นอะไร”
       มาลินีไม่ตอบ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาคลอเบ้าอยู่ดี
      
       เด็กรับใช้บ้านภาพิศออกมาทิ้งขยะ แล้วเปิดประตูทิ้งไว้ สักครู่หนึ่งเหมือนมีคนมองมาที่ประตูและเคลื่อนตัวเข้าไปในบ้าน
       สุดาแอบลอบเข้ามาในบ้าน กวาดสายตามองหาภาพิศ แต่ไม่เห็น สุดาค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านใน
      
       ภาพิศนั่งครุ่นคิดกังวลอยู่ในห้องนอน จังหวะหนึ่งเหมือนเห็นคุณหญิงสุดามา ภาพิศทำหน้าไม่แน่ใจ ก่อนสะบัดหน้าบอกตัวเอง
       “คิดมาก”
       ภาพิศเดินไปเดินมา และรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลา จน ภาพิศเหลียวขวับไปมอง สุดาที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านรีบฉากหลบ ภาพิศเดินเข้าไปใกล้ สุดาทำหน้าแปลกใจ
       สุดาคิดในใจ “คุณอารักษ์ก็ไม่ได้มาหามันนี่”
       ขณะที่สุดาจะย่องออกไป จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งมาตะปบที่ไหล่หมับ สุดาตกใจร้องกรี๊ด
       “ว๊าย”
       หันมาเห็นภาพิศกำลังยิ้มยั่ว “ร้องทำไมจ้ะแมวขโมย” จ้องตา “เอ๊ะ!หรือจะเป็นนางแมวยั่ว
       สวาท ตามมายั่วท่านถึงที่” กวาดมองเหยียดทั่วตัว “แต่ดูจากสารรูป เหนียงยานขนาดนี้คงเป็นได้แค่” ตาโต “ยั่วโมโห” กระชากผมหันมาหา “เข้ามาในบ้านฉันทำไม”
       สุดาโกรธแต่ยังยิ้มออก “อย่าเสียงดังสิคะ...อุ๊ยๆ หนอนหล่น....เดี๋ยวพี่ช่วย” สุดาพลิกตัวกลับกระชากภาพิศกลับจนหน้าหงาย
       สองคนจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
       “ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยต่างคนต่างอยู่” ภาพิศว่า
       “แล้วที่ฉันมาเนี่ย ฉันเหยียบตาปลาเธอหรือไง? บ้านก็เงินสามีฉัน ข้าวของทุกอย่างในนี้ก็ของสามีฉันทั้งนั้น และแม้กระทั่งตัวเธอ” มองอย่างดูถูก “สามีฉันก็ซื้อได้ด้วยเงิน” เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเย้ย “แล้วทำไม ฉันจะเหยียบไม่ได้” ก่อนจะผลักภาพิศออกสุดแรง
       ภาพิศเซไปนิดๆ มองจ้องหน้าสุดาเขม็ง
       “อย่าปากเก่งให้มันมากนัก นอกซะจาก เธอมั่นใจว่าจะไม่ทำอย่างฉัน เพราะท่านไม่มีทางที่จะหยุดที่เธอ”
      
       พูดจบสุดาก็เดินเชิดออกไป สีหน้าภาพิศดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
           ส่วนสองคนเดินมาตามทางริมน้ำสวย ท่าทางมาลินีดูเศร้าสร้อย บอกด้วยน้ำตาคลอๆ
      
       “จริงๆ มดก็รู้ว่านะคะพี่ภรต...ว่า...พี่แก้วไม่ได้รักมด แต่พอพี่แก้ว” พูดแทบไม่ออก “พูดออกมาแบบนี้ มดก็อดน้อยใจไม่ได้”
       ภรตยิ้มปลอบ “พี่เข้าใจ....เพราะพี่ก็เคยเป็นอย่างมด กาวเองก็ไม่เคยสนใจพี่...แต่พี่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อกาว และพี่ก็รู้สึกไปเอง ว่า ณ ช่วงเวลานั้นพี่คือคนสำคัญของกาว”
       มาลินีเริ่มยิ้มได้ “มีค่าเวลาเธอเหงา”
       ภรตพยักหน้า “ฮื่อ! ตอนนี้พี่เลยไม่เศร้า แล้วก็ไม่อยากให้มดเศร้าด้วย เพราะเราเต็มใจทำให้เค้า”
       มาลินียิ้มออกมาได้ “มันก็จริง...เราเต็มใจทำให้เค้าเอง”
       ภรตยิ้มย่องที่เห็นมาลินีดีขึ้น “รู้มั้ย รักจะมีค่าก็ต่อเมื่ออะไร”
       มาลินีจ้องหน้ารอฟัง “อะไรคะ”
       “รักเหมือนกัน” ภรตบอก
       สองคนยกมือขึ้นมาตบกันร้อง “ฮิ้วว....” หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
       ภรตหันหน้ามาหามาลินีโดยการวิ่งถอยหลัง
       “ป่ะ...ไปหาอะไรแพงๆ ซักยี่สิบ สามสิบบาทกินดีกว่า”
       “แพงมากเลย”
       มาลินีหัวเราะ ก่อนจะวิ่งไปกับภรตตรงไปที่รถเข็นขายของแถวนั้น ซื้อของง่ายๆ มากิน
       ครู่ต่อมา ภรตกับมดนั่งกินข้าวเหนียว หมูปิ้ง ลูกชิ้น ท่าทางรีแลกซ์สบายๆ ดูสนิทสนมกัน ชี้ชมบรรยากาศริมน้ำสวยแห่งนั้น
      
       คนอื่นดูเหมือนจะมีความสุข ทว่าสุขหฤทัยขับรถมาหยุดจอดข้างทาง ร้องไห้ออกมาด้วยความปวดร้าวใจ ทั้งโกรธ ทั้งแค้นกรรณนรี
      
       คืนนั้นสองสาวเดินออกมาที่หน้าออฟฟิศ สตาร์ อินเทรนด์ มะยมทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้
       “ว้าย! ฉันลืมตอกบัตร แกกลับไปก่อนเลยกาว”
       “แล้วเจอกัน”
       กรรณนรีเดินออกไป มะยมวิ่งกลับไปตอกบัตรในออฟฟิศ
      
       กรรณนรีเดินออกมาเจอ เจอสรวงที่โผล่พรวดออกไปยิ้มเผล่ให้ เบื้องแรกกรรณนรีตกใจ นึกว่าเป็นโจรมุมตึก!
       พอเห็นเป็นสรวง กรรณนรีก็หัวเราะ “คุณนี่มันจริงๆ เลย”
       สรวงยิ้มยื่นมือให้ กรรณนรียื่นมือออกไป สรวงจับมือกรรณนรีแน่นพากันเดินไป
       ส่วนที่ด้านหลังสองหนุ่มสาว มะยมยืนมองคลี่ยิ้มกว้างออกมา สุขใจไปกับเพื่อนเลิฟ นิคตามมายิ้มขำ
       “เห็นแล้วฟินเนอะ...อยากมีแฟนกับเค้ามั่ง”
       มะยมมองตามตาละห้อย ประชดชีวิตท่าทีน่าขัน “ฉันก็อยากมี แล้วก็เชื่อด้วยว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนอยากมีแฟนแต่หาไม่ได้”
       “ทำไม๊..มันถึงยากนักวะ...หกสิบกว่าล้านคนจะหาซักคนก็ไม่มี” นิคผสมโรง
       “นั่นสิ”
       สองคนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี
       “เนื้อคู่....คุณอยู่ไหน? ทำไมไม่ตามหาฉันซักที” มะยมครวญ
       สองคนหันมาหัวเราะกันสนุก
       อีกมุมไม่ไกลนัก สุขหฤทัยนั่งซุ่มอยู่ในรถ จดสายตาจ้องมองสรวงที่พากรรณนรีขึ้นรถขับออกไป แววตาสุขหฤทัยวาวโรจน์
       -
       สรวงขับรถมาตามทาง มีกรรณรีนั่งมาด้วย สรวงยื่นมือซ้ายมาจับมือกรรณนรีกอบกุมเอาไว้ตลอดเวลา สองคนสบตากัน ก่อนที่สรวงจะจอดรถตรงริมน้ำสวย พากรรนรีลงมาเดินเกี่ยวแขนตรงไปที่บริเวณริมน้ำ
       สุขหฤทัยแอบขับรถตามมาค่อยๆ เลื่อนกระจกลง สายตาที่มองมายังสรวงมีทั้งความรัก และความแค้น ก่อนจะขับรถออกไป
      
       สุขหฤทัยขับรถมาจอดที่ข้างทางริมน้ำ ห่างออกมา กดโทรศัพท์น้ำตาคลอเบ้า เจ็บปวดรวดร้าวกับภาพบาดตาที่เห็น
       “สรวงหักหลังฤทัย คุณพ่อต้องจัดการนังหน้าด้านให้ฤทัยนะคะ”
      
       น้ำเสียงสุขหฤทัยฟังดูเหี้ยมเกรียม ขณะบอกให้บิดามาจัดการสรวง และกรรณนรี
        สรวงจับมือกรรณนรีเดินเล่นอยู่ริมน้ำสวยแห่งนั้นอย่างสุขใจ
      
       “ผมชอบบรรยากาศแบบนี้จัง เงียบ สงบ มีแค่เราสองคน”
       กรรณนรีหัวเราะ “มีสองคนที่ไหนคะ? โน่น..อยู่กันเต็มเลย”
       กรรณนรีบุ้ยใบ้ไปทางด้านอื่นริมน้ำ เห็นหนุ่มสาวหลายคู่ คลอเคลียกันอยู่ตามมุมต่างๆ
       สรวงขำ หยอดหวานท่าทีเขินอาย “แสดงว่า..สายตาผมมีแค่คุณคนเดียว ผมเลยมองไม่เห็นใคร”
       “เน่าเลย..คุณสอระวง เน่าอีกแล้ว”
       สรวงฉุนทำเป็นขึงขัง เสียงดุใส่ “ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ชอบให้คุณเรียกสอระวง”
       “แต่ฉันชอบ...เพราะเวลาคุณโกรธ...” กรรณนรีพูดพลางยื่นหน้าเข้าหายิ้มยั่ว “คุณจะ...”
       สรวงคาดโทษ “อ๋อ! อยากให้ผมจูบ”
       พลางสรวงจะคว้าตัวกรรณนรีมาสำเร็จโทษ กรรณนรีรู้ทัน หัวเราะร่าแล้ววิ่งหนี สองคนวิ่งไล่กันอย่างร่าเริง
      
       ขณะที่กรรณนรีวิ่งหนีมา...แต่แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ มีนักเลงสองคนมาขวางหน้า กรรณนรี ผิดสังเกต หยุดกึก สรวงวิ่งตามมาเกือบชนเอา ทั้งสรวงและกรรณนรีมองคนร้าย ที่ย่างเท้าเข้ามาหาอย่างเอาเรื่อง
       หนึ่งคนร้ายยักคอยักไหล่มาดกวน “หวานจริงหวานจังนะจ้ะหนูจ๋า”
       “รักมากใช่มั้ย? ขอฉันยืมนังนี่ไปหวานหน่อย มานี่”
       คนร้ายอีกคนจะเข้ามากระชากกรรณนรี สรวงถลันตัวออกมายกเท้าถีบใส่คนร้ายและเหวี่ยงกรรณนรีพ้นไปทางอื่น สรวงตั้งท่าปกป้องกรรณนรีเต็มที่ คิวบู๊หนึ่งต่อสองของสรวงเท่สุดๆ กรรณนรีตกใจ สอดส่ายสายตามองหาอาวุธพร้อมกับร้องตะโกนขึ้น
       “ไฟไหม้ค่ะไฟไหม้ ช่วยด้วยๆๆๆ”
       จังหวะนั้นสรวงเพลี่ยงพล้ำ โดนคนร้ายคนหนึ่งเหวี่ยงอย่างแรง จนล้มลงไป คนร้ายอีกคนจะเข้ามาฉุดกรรณนรี ถูกกรรณนรียกเท้าถีบเต็มแรง
       สรวงตั้งหลักได้กระโจนถีบคนร้าย ฉุดกรรณนรีคืนมา สรวงโดนต่อยร่วงลงไปอีก คนร้ายหมายจะฉุดกรรณนรีอีก
       ระหว่างนั้นผู้คนแถวนั้น ต่างวิ่งกรูกันเข้ามา ในมือมีขวดน้ำ ถุงน้ำ เป็นอาวุธ
       “ช่วยด้วยค่ะ” กรรณนรีร้อง
       พลเมืองดีขว้างขวดน้ำ และข้าวของที่หาได้แถวนั้นใส่คนร้ายพัลวัน สองวายร้ายเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไป กรรณนรีรีบวิ่งเข้าไปหาสรวง พร้อมกับมีพลเมืองดีเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
       “เจ็บมากมั้ยคุณ”
       “ไม่เป็นไรครับ” สรวงบอก
       กรรณนรี กับสรวงพึมพำขอบคุณ
      
       ในเวลาเดียวกัน สุขหฤทัยโทรศัพท์อยู่ ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
       “ทำไมพวกแกไม่ได้เรื่องอย่างนี้ ไปไหนก็ไปเลยนะก่อนที่ฉันจะให้คุณพ่อกระทืบพวกแก” วางสาย ตาวาวโรจน์ โกรธจัด “ยังไงฉันก็ไม่ให้แกมีความสุขกับสรวง กรรณนรี”
      
       ส่วนสรวงกับกรรณนรีนั่งอยู่ในรถที่ข้างทาง กรรณนรีทำแผลให้ สรวงร้องโอดโอยเป็นระยะ
       “ก็ไหนตะกี้ว่าไม่เป็นไรคะ”
       สรวงยิ้มจนตาหยี “อ้าว!ก็ผมไม่ได้อ้อนเค้านี่...ผมอ้อนคุณ”
       “คุณก็อ้อนฉันอยู่แล้วทุกวัน...ไปหาหมอเถอะค่ะ”
       สรวงอิดออด บ่ายเบี่ยง “ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก..บอกแล้วไง ว่าอยากอ้อนคุณ”
       สรวงกุมมือกรรณนรียกมาแนบแก้มทำตาหวานซึ้ง ก่อนพูดเสียงจริงจัง
       “ผมรู้สึกแปลกๆ”
       “อะไรคะ”
       “ก็คนร้ายพวกนั้น....พูดเหมือนรู้จักเรา”
       กรรณนรีไม่เชื่อ “เค้าจะรู้จักได้ยังไงล่ะคะ?...ฉันว่าเค้าหมั่นไส้คุณน่ะแหละ” ดึงจมูกสรวงอย่างหมั่นเขี้ยว "หวานเกิ๊น ดึกแล้ว กลับกันได้แล้วค่ะ”
      
       สรวงยิ้มร่า ขับรถออกไป
      
       ส่วนภาพิศอยู่ในห้องนอน ท่าทางไม่สบายใจ เสียงของสุดาดังก้องในหัว
       “อย่าปากเก่งให้มันมากนัก นอกซะจาก เธอมั่นใจว่าจะไม่ทำอย่างฉัน เพราะท่านไม่มีทางที่จะหยุดที่เธอ”
       ภาพิศส่ายหน้า สลัดหัวคิด ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่จริง แต่ดวงตาบอกว่าหวั่นไหวและกังวลเอามากๆ
      
       กลางดึกนิคนั่งปั่นต้นฉบับทำงานไป หาวหวอดๆ มะยมแซว
       “นั่งหาวอยู่ได้ ขี้เกียจชะมัดเลยแกไอ้นิค เดี๋ยวฉันไปเอากาแฟมาให้” มะยมเดินไปเลย
       นิคตะโกนตามหลัง “ขอบใจนะจ้ะมะยมคนสวย ขอกาแฟ”
       มะยมหันกลับมาพูดแทรกขึ้น “กาแฟสองช้อน น้ำตาลหนึ่ง ไม่ใส่ครีม” เดินไปต่อ
       นิคพูดขำๆ “รู้ใจอย่างนี้ น่าพาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านจริงๆ”
       นิคก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
      
       ในขณะที่มะยมชงกาแฟอยู่ จู่ๆ มีมือของใครคนหนึ่งมากระชากมะยมออกอย่างแรง
       มะยมร้อง “ว๊าย” ด้วยความตกใจ
      
       นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเที่ยงคืน บรรยากาศเงียบกริบ ยินเสียงนาฬิกาบอกเวลาน่ากลัว นิคเงยหน้าขึ้นมามอง เพื่อนร่วมงานกลับไปหมดแล้ว
       “กลับไปตั้งแต่ตอนไหน” นิคกวาดตามองหามะยม ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มะยมหายไหน
      
       บรรยากาศทั่วทั้งออฟฟิศ เงียบกริบ เหมือนในหนังผี หลอนๆ นิคเดินมา เห็นไฟ ในออฟฟิศ
       ดับไปหลายดวงแล้ว ทั้งออฟฟิศดูมืดๆ น่ากลัว นิคร้องเรียก
       “มะยม มะยม” เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ “มะยม”
       นิคเดินผ่านมาตรงมุมห้อง ทันใดนั้น มีผีตัวหนึ่งโผล่หน้ามา มีผ้าขาวคลุมตัว สวมหน้ากากผี
       นิคตกใจร้องลั่น “เฮ๊ย” พอนิคหันหลังหลบก็มาเจอผีผมดำ หน้าขาวอีกตัว โดยไม่รู้ว่าเป็นมะยมซึ่งเอาผมลงปรกหน้า แล้วทาหน้าขาวเหมือนผีญี่ปุ่น
       นิคร้องลั่น “เฮ๊ย” อารมตกใจนิคยกเท้ายันเปรี้ยงอย่างแรง ร่างมะยมถลาล้มลงไปกองคาพื้น
       “โอ๊ยย”
       “เฮ้ย! ผีอะไรร้องได้”
       มะยมคราง “ฉันเอง”
       สวิทช์ไฟถูกเปิดสว่างขึ้น นิคเห็นมะยมนั่งผมดำหน้าขาวหมดสภาพ ดูตลกมากกว่าน่ากลัว
      
       มะยมนั่งบนเก้าอี้ ยังอยู่ในสภาพปลอมเป็นผี มีนิคนั่งที่พื้น คอยทายานวดเท้าให้ มะยมบ่น
       “เท้าหนักชะมัดเลยแก ดีนะที่ฉันแค่เท้าซ้น ถ้าฉันทะลุข้างฝาไปแกจะว่าไง”
       “ฝัง!” นิคกระแทกเสียงขณะนวดข้อเท้าให้
       มะยมแหกปากร้องลั่น “ฝัง”
       “ก็นึกพิเรนทร์อะไร มาทำผีหลอกฉันฮึมะยม”
       มะยมบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนร่วมกองอีกคน “ก็ป้าไก่ไง เค้าเห็นแกง่วง เลยทำผีหลอก”
       นิคหันไปมองป้าไก่กะเทยรุ่นพี่ ที่หน้าตาน่ากลัว นั่งจ้องเขม็งอยู่ ท่าทีน่าขัน
       “อย่างป้าไก่แค่นั่งเฉยๆก็หลอนแล้ว” นิคแซซ
       “เดี๋ยวแกได้กลายเป็นผีจริงๆ ไอ้นิค” กะเทยรุ่นพี่สะบัดหน้าเดินออกไป
       นิคนวดให้มะยมอยู่ “แกนี่จริงๆ เลย...เจ็บมากมั้ย”
       “ถามได้..ถูกถีบขนาดนั้น ใครจะไม่เจ็บ..แต่ก็..ขอบใจนะ...ที่อุตส่าห์นวดให้”
       นิคเย้า “ไม่ได้ฟรี..ชั่วโมงละ 200 โว๊ย”
      
       นิคพูดพลางก้มหน้าก้มตานวดขาให้อย่างเป็นห่วง มะยมอมยิ้มเป็นปลื้ม
          รุ่งเช้าภาพิศตื่นขึ้นมาพร้อมกับทอดสายตามองเตียงอันกว้างใหญ่ ที่มีตัวเองนอนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย จู่ๆ ภาพิศก็เกิดอาการมวนท้อง ลงจากเตียงวิ่งเข้าไปในห้องน้ำโก่งคออาเจียน
       
       สักครู่หนึ่งจึงเดินออกมาท่าทีอิดโรยอ่อนแรง พลางทรุดตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะหยิบมือถือมากดโทร.ออก แต่ก็ติดต่ออารักษ์ไม่ได้เหมือนเดิม
      
       ตกกลางคืนภาพิศอาเจียนหนัก มีแฉล้มซึ่งแวะมาเยี่ยมช่วยประคองภาพิศมานั่ง เช็ดหน้าเช็ดตาให้
       “ลองโทร.อีกทีแล้วกันคุณ..เผื่อจะติดต่อท่านได้” แฉล้มยื่นมือถือให้
       ภาพิศรับมากดโทร.แล้วบอกเสียงแห้งโหย “ท่านไม่เปิดเครื่อง”
       แฉล้มหงุดหงิดแทน “มีอะไร ทำไมผู้ชายไม่พูดตรงๆ ชอบหนีปัญหาด้วยวิธีนี้” มองจ้องภาพิศบ่นพึมพำ “คุณเองก็กำลังท้องกำลังไส้ ไม่ห่วงลูกในท้องบ้างรึไง”

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 7/4 วันที่ 27 ก.ย. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : ทองสิทธิ์ โสดาโคตร , กฤษฎากร มะลิวัลย์
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager