@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 8/2 วันที่ 28 ก.ย. 55

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 8/2 วันที่ 28 ก.ย. 55 

   วันต่อมาที่ร้านอาหารแห่งนั้น สุดากับสุขหฤทัยนั่งรออยู่ กรรณนรีเดินเข้ามาไหว้สุดา แล้วมองสองคนอย่างแปลกใจ
      “คุณสองคนมีธุระอะไร”
       “ไม่ได้ให้เธอไปเขียนด่านังภาพิศหรอกน่า” สุดาเย้า
       กรรณนรีหน้าตึง “งั้นมีอะไรก็พูดมา”
       “แย่งท่านอารักษ์กลับมาจากนังภาพิศ” สุขหฤทัยบอก
       กรรณนรีหน้าซีดเผือด สุดาและภาพิศมองจ้องจับสังเกต กรรณนรีเอ่ยขึ้น
       “พวกคุณบ้าไปแล้ว”
       “ไม่ได้บ้าหรอกจ้ะ สติยังดีทุกอย่าง ถึงได้จ้างลูกน้อง หักหลังลูกพี่...เธอจะเอาเท่าไหร่ว่ามา” สุดายิ้มในสีหน้า
       “เก็บเงินไว้ยัดปากผีพวกคุณดีกว่าค่ะ” กรรณนรีเดินพรวดออกไป
       “นังกรรณรี” สุขหฤทัย จะตาม
       สุดาดึงมือรั้งไว้ “ไม่เอาน่าฤทัย”
       สุขหฤทัยมองตามแววตาวาวโรจน์ มีแต่ความชิงชังโกรธเกลียดกรรณนรี
     
       กรรณนรีเดินมาตามทาง ยังโกรธสุดาและสุขหฤทัยไม่หาย ก่อนจะหยุดนิ่ง นึกเป็นห่วงภาพิศขึ้นมา จึงโทร.หา
       ภาพิศท่าทางอ่อนแรงประสาคนท้อง และใจไม่ค่อยดีเรื่องอารักษ์รับสายอยู่ที่บ้าน
       “อ้าว! หนูก้าง ไม่ได้คุยกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง”
       “ฉันสบายดีค่ะ”
       ภาพิศยิ้มอ่อนโยน ถามเสียงอาทร “กับคุณสรวง...ไปกันได้ดีใช่มั้ย”
       “เราเป็นเพื่อนกันค่ะ”
       “คุณสรวงชอบหนู และฉันจะดีใจมาก ถ้าต่อไปหนูกับคุณสรวงจะรักกัน”
       กรรณนรีตื้นตัน น้ำตารื้น ถามไถ่ “คุณสบายดีนะคะ”
       ภาพิศหน้าเจื่อนไป “อืมห์! ถ้าจะให้ตอบแบบสร้างภาพ ก็คงสบายดี...แต่ถ้าไม่...ช่วงนี้ฉันมีเรื่องนิดหน่อย”

       กรรณนรีใจหายยิ่งห่วง “อะไรคะ ฉันช่วยคุณได้มั้ย”
       ภาพิศยิ้มเอ็นดู ตอบเลี่ยง “จะมาแพ้ท้องแทนฉันเหรอ?... ฉันไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ ขอบใจที่เป็นห่วง ขอให้หนูกับคุณสรวงไปกันได้ด้วยดีนะ”
       ภาพิศวางสาย กรรณนรีสงสารและเห็นใจแม่ ได้แต่ตะโกนก้องบอกตัวเองในใจ
       “ฉันไม่มีวันร่วมหัวกับคนใจร้ายพวกนั้น ทำลายแม่เป็นอันขาด”
     
       เห็นกรรณนรีหน้าเศร้า มะยมกับนิคชะโงกหน้ามามอง
       “เงินเดือนออก ทำไมหน้าเศร้าอ่ะ” มะยมแซว
       “นั่นสิ....ฉันหักลบกลบหนี้ ทั้งเดือน เหลืออยู่ห้าพันยังไม่เห็นเศร้าเลย” นิคว่า
       กรรณนรีกลบเกลื่อน “เศร้าที่ไหนล่ะ? แค่คิด...จะเอาเงินเดือนไปใช้หนี้อะไรก่อนดี”
       “เกิดเป็นมนุษย์เงินเดือนนี่น่าเศร้าใจจริงๆ” นิคยิ้มเย้ยชีวิต “ดราม่ามะ”
       มะยมสวนออกมา “มากกกกกก... นี่..วันนี้วันเกิดฉันไปหาอะไรอร่อยกินดีกว่า”
       นิคบอกทันที “ไม่เอาอ่ะ..เหลืออยู่ห้าพัน ขืนไปเดือนนี้ได้กินแกลบ”
       “ฉันก็ไม่ว่างมีนัด..ไว้วันหลังแล้วกัน” กรรณนรีบอก จังหวะนั้นเสียงมือถือดังกรรณนรีรีบรับ “คะพี่จ๋า..ค่ะๆ”
       มะยมจ๋อยไม่มีใครสนใจเดินจ๋อยๆ ออกไป กรรณนรี กับนิค ก้มหน้าก้มตาทำงาน นิคแอบมองมะยมแวบหนึ่ง ก่อนเดินเลี่ยงออกไป
     
       นิคพุ่งมาที่ห้าง เดินเข้ามาในร้านขายเครื่องดนตรี ตรงไปที่อูคูเลเล่ กวาดตามอง หยิบมาอันหนึ่ง
       “นี่เท่าไหร่ครับ”
       “2,999 บาทครับ” คนขายบอก
       นิคเสียงดัง “2,999” นิคหน้าม่อย ก่อนหน้านี้เงินเดือนออก แต่หักหนี้ทุกสิ่งอย่างเหลือเพียง
       5,000 บาท
       “ไม่แพงหรอกน้อง มีทั้งเครื่องตั้งเสียงดิจิตอล สายอกีล่า กระเป๋า ตารางคอร์ด คุ้ม” คนขายการันตี
       “รู้ครับว่าคุ้ม แต่ผมไม่มีเงิน” นิคหยิบๆ จับๆ ไปมา ดูออกว่าอยากได้มาก “ผมจะเอาไปให้เพื่อน”
       คนขายแซว “ให้แฟนล่ะซี้” นิคยังไม่ทันตอบ คนขายยิ้มว่าต่อ “อ่ะ...งั้นพี่ลดให้พิเศษ 2,500
       ขาดตัว”
       นิคคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเงินออกมานับจากกระเป๋า เป็นแบงค์พันห้าใบ และตัดสินใจหยิบมา 3 ใบ “โอเค.ครับ” คนขายรับมาทอนคืนให้ห้าร้อย
       “ห่อของขวัญให้ด้วย ขอบคุณครับ” นิคบอก
       คนขายหยิบอูคูเลเล่ไป นิคถือเงินสองพันห้า มองเงินน้อยนิดในมือที่ต้องกระเบียดกระเสียนใช้ แต่นิคยิ้มพรายทั้งหน้า
     
       เย็นนั้นกรรณนรีเดินออกมาจากออฟฟิศพร้อมกับมะยม เจอสรวงรออยู่ในรถ กรรณนรีออกตัวบอกกับมะยม
       “คุณสรวงมาแล้ว..ไปก่อนนะ”
       “แล้วเจอกัน”
       มะยมหน้าม่อย มองกรรณนรีที่เดินไปหาสรวงทีรถ มะยมเดินไป ได้ยินที่สรวงถามกรรณนรี
       “วันนี้ไปไหนดีจ๊ะที่รัก”
       กรรณนรียื่นหน้าไปกระซิบบอก สรวงฟังแล้วแกล้งทำหน้าหื่นใส่
       “โอ้โห! เรต18 โอเค.” สรวงสัพยอกยิ้มตาหยี ตบเบาะเรียก “ขึ้นมาไวๆ...ขึ้นมาไวๆ”
     
       กรรณนรีขำกิ๊ก ก่อนจะขึ้นรถออกไปกับสรวง
             พระอาทิตย์ยามอัสดงส่องแสงรอนๆ ใกล้จะลาฟ้าในอีกไม่นาทีข้างหน้า มะยมเดินทอดน่องกิริยาเศร้าซึมมาตามทางเดินเล็กๆ ริมน้ำ
     
       หญิงสาวทอดสายตามองออกไปทั่ว เห็นท้องน้ำเงียบเหงา ไร้วี่แววผู้คน มะยมเดินทอดน่องไปต่อ เรื่อยๆ รู้สึกเศร้าเหลือเกิน จวบจนตะวันลับฟ้า ความมืดมิดเข้ามาห่อคลุมทั่วบริเวณแทนที่
       เดินทอดอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ มะยมก็เดินออกมาริมทาง จะโบกแท็กซี่กลับคอนโด รถแท็กซี่จอดรับ มะยมเปิดประตูรถจะบอกจุดหมาย
       “ปะ”
       มะยมพูดคำว่า...ไปยังไม่ทันจบ จู่ๆ เห็นสรวงกับกรรณนรี วิ่งตามมา
       โดยกรรณนรีร้องเรียกเสียงลั่น “ดะเดี๋ยวๆๆๆๆ อย่าเพิ่งไปมะยม”
       กรรณนรีมาถึงดึงตัวมะยมออกมา สรวงบอกขอโทษแท็กซี่
       “ไม่ได้ไปแล้วครับ ขอโทษครับ” แท็กซี่เคลื่อนตัวออกไป
       มะยมหันมามองอาการงวยงง “กาว คุณสรวงมาได้ยังไง”
       นิคเดินโผล่เข้ามาอีกทาง เอามือไขว้หลังซ่อนของขวัญ “ก็..รู้ว่าเวลาเศร้าๆ แกชอบ
       มานี่ไง”
       มะยมงงหนัก “นิค”
       นิคเดินมาคว้าตัวมะยมกอดคอหมับ อีกมือยื่นกล่องของขวัญให้ “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” นิคว่า
       กรรณนรียื่นกล่องเค้กมาตรงหน้า “สุขสันต์วันเกิดจ้ะมะยม”
       มะยมมองสองเพื่อนซี้อย่างตื้นตันใจ
     
       ท่ามกลางแสงสลัวรางแทบจะมืดมิด เค้กรูปทรงปกติ ไม่ได้ตกแต่งวิจิตรหรูหรา ราคาไม่กี่บาท บนหน้าเค้กเขียนกำกับ “แฮปปี้เบิร์ธเดย์เพื่อนรัก...มะยม” มีเทียนปักอยู่ และถูกจุดขึ้น สรวง กรรณนรี และนิค ร่วมกันร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ มะยมน้ำตาคลอ
       “เป่าเค้กได้แล้ว ไม่ใช่มาเป่าปี่ร้องไห้แงๆ” นิคแซว
       มะยมกลั้วหัวเราะ “ก็ฉันซึ้งนี่...นึกว่าพวกแกจะลืมไปแล้ว”
       กรรณนรีสวมกอดมะยม “วันเกิดเพื่อนรัก จะลืมได้ยังไง เป่าเค้กเลย เป่าเค้ก”
       “ขอบใจนะ” มะยมเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด ทั้งน้ำตา
       ทุกคนเฮ ปรบมือ สรวงยิ้มบอก
       “สุขสันต์วันเกิดครับ”
       นิคเอามีดตัดเค้กยื่นให้ “ตัดเลยๆ อยากกิน”
       “เดี๋ยว...แกะของขวัญที่แกให้ก่อน” มะยมว่า
       “งั้นแกแกะไป ฉันจะกินเค้ก”
       นิคบอกพลางคว้ามีดมาตักเค้กแก้อาการขวยเขิน มะยมค่อยๆ แกะของขวัญออกเห็นเป็นอูคูเลเล่ กรรณนรี กับสรวง เฮ มะยมทั้งยิ้มทั้งแปลกใจ
       “นิค! ไหนแกบอกมีเงินห้าพัน แล้วแกซื้ออูคูเลเล่ให้ฉัน แกจะกินอะไร” มะยมเป็นห่วงนิค
       “ก็กินเค้กไง” นิคหน้าจ๋อยๆ “เค้กหมดก็....เกาะแกกิน”
       มะยมยิ้มย่อง “ขอบใจนะเพื่อน ขอบใจจริงๆ”
       กรรณนรี กับนิค กอดมะยมเอาไว้ มะยมกอดอูคูเลเล่สุขใจ นิคบอก
       “ไม่ต้องมาทำซึ้งกลบเกลื่อน เล่นเลยๆ”
     
       มะยมจัดให้ตามขอ เล่นอูคูเลเล่เพลง “ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ” บรรยากาศชื่นมื่น รื่นเริง และสบายๆ
       บางจังหวะกรรณนรีกอดมะยม นิคเอามือคลึงผม สรวงมองภาพบรรยากาศเพื่อนรักอย่างสุขใจ
     
       สองคนอยู่ในห้องโถงบ้านคุณหญิสุดา สุขหฤทัยโกรธขึ้งออกอาการกระฟัดกระเฟียด สุดาหัวเราะ
       “ยังไม่หายโมโหนังกรรณรีอีกเหรอฤทัย”
       “ก็มันให้เราเอาเงินยัดปากผีตัวเอง มันก็แช่งเราสิคะคุณหญิงแม่” สุขหฤทัยหน้าง้ำ
       “คำแช่ง ถือเป็นการต่ออายุให้ยืน”
       สุขหฤทัยโกรธจนลืมตัว “งั้นฤทัยแช่งคุณหญิงแม่ดีมั้ยคะ อุ๊ย!” นึกได้รีบเอามือตบปากตัวเอง "ขอโทษค่ะ”
       สุดาดุเอา “จะอารมณ์เสียทำไม ในเมื่อเธอตั้งใจยั่วนังกรรณรีเล่นอยู่แล้วนี่”
       “มันก็จริงค่ะ” สุขหฤทัยตาดุดัน “ฤทัยอยากเห็นหน้ามัน เวลาที่ถูกจ้างให้ทำร้ายแม่มัน แต่
       นั่นมันแค่แผนหลอก แผนจริง ที่นังกรรณรีมันต้องอยู่ในกำมือเรา...รอมันอยู่ค่ะ”
       สาวแสบหรี่ตาร้าย ยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา
     
       เวลาต่อมา สุขหฤทัยนั่งอยู่กวาดสายตามองหากาวินทร์ที่ในผับประจำ พอเห็นกาวินทร์เดินเข้ามา สุขหฤทัยก็ทำดราม่าใส่ชุดใหญ่ ทั้งแสร้งเมามาย ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจหนัก
       กาวินทร์เดินมายืนมองอย่างงงๆ มิได้สำเหนียกสักน้อยว่ากำลังตกสู่บ่วงเล่ห์ที่สาวแสบขุดล่อ หัวเราะกวนใส่
       “เอ้า...คนมีแฟน แต่มานั่งร้องไห้แถวนี้..แสดงว่าถูกเค้าทิ้ง ผู้ชายไม่เอา”
       สุขหฤทัยแกล้งร้องไห้น่าสงสาร “อยากพูดอะไรก็พูดไป ฉันไม่มีแรงเถียงกับคุณหรอก”
       กาวินทร์ชะโงกหน้าเข้ามามอง สุขหฤทัยร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวร
       “จะสมน้ำหน้าฉันก็ได้นะ..สรวงเค้าทิ้งฉัน เค้าไม่เอาฉันอย่างที่คุณว่า ตอนนี้ฉันเหนื่อย ฉันยื้อสรวงไม่ไหวแล้ว...เค้าจะไปไหน ฉันก็จะให้เค้าไป”
       สุขหฤทัยควักอินเนอร์ออกมาใช้ พร้อมกับคว้าแก้วเหล้ามากรอกปาก กาวินทร์คว้ามือรั้งเอาไว้
       “ไม่เอาน่าคุณ...เหล้า แก้ปัญหาให้คุณไม่ได้”
       “แต่มันทำให้ฉันเพลินได้...” สุขหฤทัย จะคว้าเหล้ามากินอีก
       “เพลินแล้วคุณจะนั่งร้องไห้ทำไม?” กาวินทร์ดึงแก้วออก “อยากพูดอะไรพูดมา ผมจะฟัง”
     
       กาวินทร์ตกหลุมพรางนางมารโดยไม่รู้ตัว
        ผับเลิกแล้ว สุขหฤทัยแสร้งทำเป็นเมาอ้อแอ คอพับคออ่อนอยู่ที่ด้านนอก ท่าทางเซื่องๆ น่าเวทนา ร้องไห้ไม่หยุด
     
       “สรวงเค้าไม่เคยรักฉัน ไม่เคยมองฉัน...เค้ารัก...กรรณนรี” สุขหฤทัยครวญคร่ำ
       กาวินทร์มองสุขหฤทัยอย่างสงสาร “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้น้องสาวผม คบกับคุณสรวงเด็ดขาด”
       สุขหฤทัยแกล้งถาม “ทำไม”
       กาวินทร์ส่ายหน้า ไม่ยอมตอบ “คุณไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่า...คุณกลับไปทำดีกับคุณสรวงเถอะ...เผื่อซักวันเค้าจะรักคุณ”
       สุขหฤทัยส่ายหน้าเหมือนยอมรับความพ่ายแพ้ “บอกแล้วไง ฉันเหนื่อย...ฉันพอแล้ว....ฉันจะไม่ยุ่งกับสรวงอีกแล้วฉันจะรอ...คนที่เค้ารักฉันเหมือนกัน ขอบใจมากนะที่อยู่เป็นเพื่อน”
       สุขหฤทัยเดินโซเซผ่านหน้ากาวินทร์ แล้วแกล้งเซล้ม กาวินทร์คว้าตัวสุขหฤทัยเอาไว้ สุขหฤทัยร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “คุณเมามาก เดี๋ยวผมไปส่ง”
       “ฉันไม่อยากกลับบ้าน” สุขหฤทัยใส่จริตช้อนตาขึ้นมอง ซื่อๆ เหงาๆ “คุณจะพาฉันไปไหนก็
       ได้นะ....ที่..ที่มีแค่เราเพียงสองคน”
       กาวินทร์มองสุขหฤทัยด้วยสายตาอ่อนโยน  
     
       ไม่นานนัก กาวินทร์ประคองสุขหฤทัยเข้ามาในห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง สองคนอยู่ในสภาพเมามาย กอดกันหัวร่อยังกับถูกคอกันมาเป็นชาติ
       สุขหฤทัยแกล้งทำท่าเมาอ้อแอ้ “ดื่มเป็นเพื่อนฉันต่อนะคะ ฉันอยากเมา”
       “เอาสิ”
       สุขหฤทัยหัวเราะยั่ว รีบรินเหล้าให้กาวินทร์ ทำทีเป็นคลอเคลียนัวเนียเพื่อมอมเมา แก้วแล้วแก้วเล่า กาวินทร์เริ่มมือไม้เปะปะเป็นปลาหมึก อยู่ในอาการตาปรือเมาหนักมากกว่าสุขหฤทัย
       สุขหฤทัยใส่จริตหัวเราะคิก “อะไรใจร้อนจัง”
       พลางสุขหฤทัยผลักกาวินทร์ลงบนเตียง คลอเคลียให้ตายใจ หยอกล้อ แล้วพลิกตัวให้กาวินทร์นอนคว่ำกระซิบบอกเสียงกระเส่า
       “นอนรอฉันแป๊บหนึ่งนะ” พร้อมกับก้มลงจูบ แล้วปิดไฟเดินเข้าห้องน้ำ
     
       สุขหฤทัยเบ้ปากใส่กระจกในห้องน้ำ ก่อนจะค่อยๆ แง้มประตูออกมา เห็นกาวินทร์นอนคว่ำหน้านิ่งท่าเหมือนเดิมคล้ายจะหลับไปแล้ว เพราะใจจริงกาวินทร์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรสุขหฤทัยอยู่แล้ว นางมารร้ายมองอีกสักครู่ ก่อนจะรีบย่องไปที่ประตูอย่างว่องไว
     
       ท่ามกลางความมืดมิดในห้อง ขณะที่กาวินทร์นอนนิ่งเหมือนจะหลับ หญิงสาวคนหนึ่งหุ่นลักษณะใกล้เคียงสุขหฤทัยเป๊ะ ก็ก้าวเข้ามาแทนที่ หญิงสาวผู้นั้นตรงไปที่เตียง ก่ายกอดสัมผัสเคล้าคลึง ชั่วครู่กาวิทร์ที่ทำท่าเหมือนจะหลับก็ตื่นขึ้นมาในอาการเคลิ้มคล้อย กอดรัดหญิงสาวผู้นั้นซุกไซร้ทั่วใบหน้า ไล่เรื่อยไปตามแรงเร้าในใจ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลองของมันเอง
       เวลาผ่านไป ทุกอย่างเสร็จสม กาวินทร์นอนนิ่งหมดแรง โดยไม่รู้ว่ามีชายหุ่นกำยำคนหนึ่งเปิดประตูก้าวเข้ามาเงียบๆ ชายคนนั้นตรงไปที่ร่างหลับสนิทของกาวินทร์ กอดก่ายเคล้าคลึงอยู่อย่างนั้น
     
       กลางดึก ห้วงเวลาเดียวกัน ภาพิศนอนหลับอยู่ จู่ๆ ก็สะดุ้งตัวตื่นโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด ภาพิศหยิบมือถือกดโทร.ออก
       ปลายสายเป็นแฉล้มที่นอนอยู่สะดุ้งงัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงมือถือดัง แฉล้มรับสายหน้ายุ่ง มองดูหน้าจอ
       “อ้าว!คุณ มีอะไร ถึงได้โทร.มาดึกดื่นขนาดนี้”
       “ฉันฝันร้าย” ภาพิศหน้าหมอง
       “ฝันถึงท่านอารักษ์เหรอ” แฉล้มถาม
       “เปล่า...ฝันถึงอะไรฉันก็จำไม่ได้ แต่ฉันรู้สึก ไม่สบายใจยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก”
       แฉล้มอยู่ในอาการง่วงมาก “ลึกๆ คุณกลัวว่าท่านอารักษ์จะไม่กลับมาหาคุณน่ะสิ ไม่มีอะไร
       หรอก มันก็แค่ความฝัน นอนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็หลับเอง”
       แฉล้มวางสายหลับต่อ แต่ภาพิศกลับนอนไม่หลับ รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ
       ภาพิศไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับกาวินทร์ สัญญาณสังหรณ์จึงส่งถึงกันประสาแม่ลูก แต่ภาพิศไม่รู้ว่ามันคืออะไร
     
       รุ่งเช้ากรรณนรีเดินลงมาจากชั้นบน จะไปทำงานเลย เกริกท่าทางโรยๆ เหงื่อแตกพลั่กเดินออกมาจากในครัว
       “กับข้าวเสร็จแล้วลูก..มะ..มากินข้าวกัน โอะ!”
       เกริกยกมือจับหน้าอก ทำท่าทรุดจะเป็นลม กรรณนรีปราดมาหาอาการตกใจ
       “พ่อ พ่อเป็นไร”
       เกริกเอามือจับหน้าอกอยู่อย่างนั้น “ช่วงนี้เป็นไรไม่รู้ลูก พ่อเหนื่อยง่าย เจ็บๆ แน่นหน้าอก”
       “เดี๋ยวกาวพาไปหาหมอ” กรรณนรีรีบเข้าประคองพ่อให้ลุก จะพาออกไป
       เกริกยกมือห้าม “อย่าเพิ่งไปเลยลูก รอดูอีกสองสามวันก่อน”
       “ไปวันนี้แหละจ้ะ....เผื่อพ่อเป็นอะไร จะได้รักษาได้ทัน”
       กรรณนรีเป็นกังวล ประคองเกริกลุกขึ้นเดินจนได้ เกริกบอก
       “งั้นพ่อไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยว” เสียงมือถือกรรณนรีดัง เกริกบอก “รับโทรศัพท์เลยลูก เดี๋ยวพ่อไปเอง” เกริกเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
       กรรณนรีรับโทรศัพท์ “คะคุณสรวง”
       สรวงกำลังจะออกไปทำงานเดินตรงมาที่รถ สีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
       “มอนิ่งที่รัก ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
       “กำลังจะพาพ่อไปหาหมอค่ะ”
       สรวงตกใจพูดรัวเร็วอย่างเป็นห่วง “เดี๋ยวผมพาไป”
       “ไม่เป็นไรค่ะ”
       “ไม่เป็นไรได้ยังไง? เดี๋ยวผมพาไป” สรวงไม่ยอม
       “เจอกันที่โรงพยาบาลดีกว่าค่ะ” กรรณนรีบอก
     
       เกริกเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมาพอดี
       ไม่นานนัก สรวงกับกรรณนรีกำลังช่วยกันประคองเกริกเดินเข้ามาที่โรงพยาบาล
     
       “ค่อยๆ เดินครับพ่อ” สรวงเรียกสรรพนามเกริกว่าพ่อ เต็มปากเต็มคำ
       เกริกยิ้มให้อย่างใจดี “ขอบใจมากนะ ที่มาเป็นเพื่อนกาว แต่ เรียกลุงจะดีกว่า”
       สรวงหัวเราะแหะๆ “ครับคุณลุง”
       กรรณนรีแอบอมยิ้มขำๆ “ไปค่ะพ่อ”
       สองคนประคองพาเกริกเดินไป
       จังหวะนั้น ที่ทางเดินด้านหน้าภาพิศเดินมาแต่ไกล สรวงเห็นเข้าพอดี
       สรวงอึกอัก “เอ่อ...ผมว่าพาพ่อไปห้องน้ำก่อนดีกว่า คนเยอะ ท่าจะต้องรอนาน”
       เกริกพูดพาซื่อ “ไม่เป็นไร ลุงไม่ปวด”
       สรวงอ้อมตัวมาบังเกริกไว้ พร้อมกับขยิบตาบุ้ยใบ้ส่งซิกให้กรรณนรี “ไปเหอะ...รอหมอนาน”
       กรรณนรีหันไปมองตามสรวง ก็เห็นภาพิศ กรรณนรีหน้าซีดจับมือเกริก
       “จริงด้วยค่ะพ่อ” พูดเร่งๆ “ไปเข้าห้องน้ำก่อนค่ะ”
       สรวงกับกรรณนรีจับมือพาเกริกไปเลย เกริกงง ได้แต่ร้องบอก
       “พ่อไม่ปวดๆ”
       สองคนแอบมองไปทางภาพิศ เห็นภาพิศยืนหันหลังอยู่ที่เคาน์เตอร์ติดต่อสอบถามของประชาสัมพันธ์โรงพยาบาล
     
       ครู่ต่อมาภาพิศ อยู่ในห้องตรวจสภาพครรภ์ กำลังทำอัลตร้าซาวด์ มีหมอเวรเจ้าของไข้ และผู้ช่วยอยู่ด้วย  
       หมอถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณพ่อไม่มาด้วยเหรอคะ”
       ภาพิศหน้าหมองลงแต่ฝืนยิ้มบอกออกไป “ติดงานค่ะ”
       หมอมองจอพลางบอก “ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ช่วงนี้คุณแม่ต้องงดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ รวมทั้งเนื้อสัตว์สำเร็จรูปทุกชนิดนะคะ”
       หมอยิ้มให้ แต่ภาพิศหน้าหมองเศร้า รู้สึกโดดเดี่ยวราวกับอยู่คนเดียวบนโลก
     
       เวลาเดียวกันสรวงกับกรรณนรีประคองเกริกออกมาจากห้องตรวจ เกริกบอกด้วยท่าทางหมองๆ จับน้ำเสียงได้ว่าหงุดหงิดไม่น้อย
       “พ่อไม่เข้าใจ พ่อเป็นโรคหัวใจได้ยังไง? แล้วยังบอกให้ระวังภาวะหัวใจเฉียบพลันอีก แสดงว่าพ่อเป็นเยอะ”
       กรรณนรีปลอบ “ไม่มีอะไรหรอก หมอคงอยากให้พ่อดูแลตัวเองมากขึ้นเท่านั้นเอง”
       “คุณลุงรออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวผมไปรับยาให้”
       “ไปจ่ายตังค์ไปลูกไป” เกริกบอกกรรณนรี
       “ค่ะ”
       สรวงเดินไปกับกรรณนรี เกริกนั่งหน้าเครียด คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชวนคุย
       “ได้ลูกเขยหล่อจัง แต่ฉันว่าหน้าเค้าคุ้นๆ ยังไงไม่รู้ เป็นดารารึเปล่า”
       “เปล่า แล้วก็ไม่ได้เป็นเขยด้วย”
       “เรอะ...นึกว่าใช่” หญิงคนนั้นทำท่าคิดไปคิดมา “แต่ทำไมคุ้นหน้าเค้าจัง” แล้วนึกได้ “ใช่แล้ว...เค้าชื่อสรวง ลูกของ...”
       หญิงคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ ภาพิศเดินมาตรงบริเวณใกล้ๆ เกริกมองไปเห็นพอดี
       “นุดี” เกริกรีบเดินตามไป หญิงคนนั้นอ้าปากค้าง
     
       พอกรรณนรีกับสรวงเดินกลับมา ก็ไม่เห็นเกริกแล้ว
       “อ้าว!พ่อไปไหน?” กรรณนรีแปลกใจมาก สองคนกวาดสายตามองหา  
     
       ภาพิศเดินหน้าเศร้ากำลังจะกลับแล้ว เกริกวิ่งตาม
       “นุดี”
       ภาพิศคุ้นหูในน้ำเสียง จึงหันมามอง ทั้งแปลกใจ ทั้งตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นชาเฉย เกริกถามอย่างห่วงใย
       “นุดีเป็นอะไร”
       “ฉันมาตรวจครรภ์” ภาพิศบอกเสียงเรียบ
       เกริกหน้าเจื่อนถามอ้อมแอ้ม “แล้วเค้าไม่มาด้วยเหรอ”
       ภาพิศปด “เค้ารออยู่ที่รถ คราวหลังถ้าเจอ ไม่ต้องทักก็ได้นะพี่”
       พูดจบเท่านั้นภาพิศก็เดินออกไปเลย  
       เกริกหน้าเศร้าลงทันที จังหวะนั้นกรรณนรีกับสรวงเดินตามมา
       “อ้าว!พ่อ มาอยู่นี่เอง”
       “รออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวผมเอารถมารับ” สรวงบอกแล้วเดินออกไปเร็วรี่
       “ตะกี้ทำไมพ่อไม่รอกาวล่ะจ้ะ”
       เกริกเสียงเครือนิดๆ “บังเอิญเจอคนรู้จัก”
       “ใครคะ?”
       “ไม่สำคัญอะไรหรอก...เค้าไปแล้ว”
       ดวงตาเกริกเฉยชา เริ่มชินและทำใจยอมรับได้มากขึ้น
     
       สายวันนั้นในขณะที่กาวินทร์นั่งทำงานอยู่ เสียงมือถือดัง กาวินทร์เห็นเป็นเบอร์สุขหฤทัย กาวินทร์ยิ้มดีใจ
       “ผมรอสายคุณอยู่ นึกว่าคุณจะไม่ติดต่อมาซะแล้ว”

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 8/2 วันที่ 28 ก.ย. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : ทองสิทธิ์ โสดาโคตร , กฤษฎากร มะลิวัลย์
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager